■

เรื่องมันมีอยู่ว่าวันก่อนครัช ศาลที่อเมริกาเขาตัดสินให้กลุ่มเพศทางเลือกสามารถแต่งงานกันเองได้อย่างถูกกฏหมาย

กลุ่มเพศทางเลือกที่อเมริกาก็ดีใจโอ้หลั่ลล้ากันใหญ่ มีการติดสัญลัษณ์ธงสีรุ้งกันเต็มเฟซบุ๊ค

เพื่อเป็นการแสดงความยินดีให้กับคนกลุ่มนี้ โดยธงสีรุ้งนี้เป็นสีจากธง LGBT PRIDE FLAG

ออกแบบโดย กิลเบิร์ต เบเคอร์ ศิลปินและนักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกา

และกลุ่มเพศทางเลือกก็ได้ใช้ธงสีนี้เป็นสัญลักษณ์คลื่นไหวเรียกร้องความเท่าเทียมกันมาเกือบ 30 ปีแล้ว

■

ทีนี้ ไอติมวอลล์บ้านเราก็ขอเกาะกระแสมั่ง โดยการอัพภาพธงสีรุ้งลงเพจ

แถมยังติดแทกว่า #LOVEWINS ความรักชนะทุกสิ่ง

ประเด็นคือ ไอ้สิ่งที่อยู่ตรงกลางภาพ มันคือ “ไอติมรสกะทิถั่วดำ”

อนึ่ง ถั่วดำ เป็นศัพท์แสลงหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังครับ

■

ชาวเน็ทก็ไม่พอใจไอติมวอลล์ เข้าไปก่นด่ากันขรม จนไอติมวอลล์ต้องลบภาพนั้นในเวลาต่อมา

แต่สายไปเสียแล้ว กระแสไม่พอใจไอติมวอลล์ได้จุดติดและลามไปไกลเหมือนไฟลามทุ่ง

มีคนเข้ามาด่าไอติมวอลล์ในเพจกันตรึม บางคนยังประกาศตัวว่ากรูจะเลิกแดกไอติมจนกว่ามึงจะยอมออกมาขอโทษ

■

■

แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วย แย้งว่าถั่วดำแล้วจะทำไมวะ ถั่วดำแม่งอร่อยจะตายห่า

มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไฟเบอร์ก็เยอะ โปรตีนก็มาก วิตามินอีกมหาศาล มีประโยชน์กับร่างกายสุดๆ

■

เขาเปรียบเทียบพวกมึงเพศที่สามกับถั่วดำแล้วจะทำไม ในเมื่อคำๆนี้มันก็มีความหมายแบบนั้น

ถ้ามึงไม่พอใจที่คนเปรียบพวกมึงว่าเล่นถั่วดำ ก็เป็นเพราะพวกมึงนั่นแหละที่ดูถูกรสนิยมของตัวเอง

เอาตามที่ชั้นเข้าใจ ก็ไม่เห็นว่าการเล่นมุขถั่วดำมันจะร้ายแรงตรงไหนเลย

■

■

มีคนอธิบายว่า ถั่วดำ เนี่ย มันเป็นคำที่มีต้นตอมาจากคดีล่วงละเมิดทางเพศคดีนึงเมื่อหลายสิบปีก่อน

ซึ่งไอ้คนที่ชื่อ ถั่วดำ มันไปจับเด็กมาเย็ดตูดแล้วขายบริการทางเพศจนถูกตำรวจจับ

การที่มึงเอาชื่อของคนพรรค์นี้มาใช้เรียกเพศที่สามเนี่ย คิดว่าเพศที่สามเขาจะรู้สึกยังไงวะ

■

ยุคนี้ไม่มีเกย์คนไหนเขาใช้คำว่าถั่วดำกันแล้วนะ เหลือแต่คนที่เหยียดเกย์เท่านั้นแหละที่ยังใช้คำๆนี้อยู่

■

การใช้คำว่า อัดถั่วดำมั่งละ ขุดทองมั่งล่ะ ระเบิดถังขี้มั่งล่ะ มันเป็นคำที่มีความหมายในเชิงเหยียดเพศที่สามทั้งนั้น

คล้ายๆกับการที่คนขาวสมัยก่อนล้อคนผิวสีว่าไอ้มืด ไอ้นิโกรนั่นแหละ

หลายๆคนอาจมองว่านี่เป็นเรื่องเล็ก แต่มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับคนบางกลุ่มเลยนะ

■

■

ชาวเน็ทคนนึงก็ด่าว่าประเทศชาติจะด้อยพัฒนาก็เพราะคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วบอกว่าถั่วดำเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมึงนี่แหละ

■

ป้าคนที่เปิดประเด็นเรื่องถั่วดำก็สวนกลับว่าถั่วดำกับประเทศชาติจะพัฒนาหรือไม่มันเกี่ยวกันตรงไหนวะคะ

■

ชาวเน็ทตอบว่ามันเกี่ยวกันโดยอ้อมว่ะ เพราะในประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชาชนของประเทศนั้น

จะให้ความเคารพในความเป้นมนุษย์ของผุ้อื่นโดยไม่แบ่งแยกกีดกัน

■

ต่อมาหลังลบภาพไอติมถั่วดำไปดื้อๆ ที่เพจวอลล์ก็มีการอัพภาพใหม่เป็นไอติมเรนโบว์แพดเดิลปอบส์

ที่ติดแทก #LOVEWINS แทนไอติมถั่วดำอันเดิม (มึงควรทำงี้แต่ต้นนะ)

■

ชาวเน็ทที่ไม่พอใจก็ถามวอลล์ว่ามึงมากลับลำตอนนี้มันก้สายเกินไปแล้วโว้ย

มึงคิดว่าแค่ลบภาพไอติมถั่วดำแล้วอัพภาพไอติมเรนโบว์แค่นี้ก็จบเรื่องเหรอวะ

ถ้ามึงไม่ออกมาชี้แจงหรือขอโทษกลุ่มเพศทางเลือก รับรองว่าภาพลักษณ์องค์กรมึงพินาศป่นปี้ทั้งองค์กรแน่

■

แถมยังมีคนแฉรัวๆว่านี่ไม่ใช่หนแรกที่ไอติมวอลล์เล่นมุขไอติมถั่วดำ แต่เล่นมาไม่รู้กี่รอบแล้ว

■■

มีคนถามว่ามึงจะเล่นมุขถั่วดำอีกซักกี่รอบมึงถึงจะหนำใจวะคะ มึงรู้มั้ยว่าในประเทศที่เจริญแล้ว

การเล่นขุมเหยียดเพศแบบนี้ถือเป็นอาชญากรรมประเภทนึงเชียวนะเว้ย

ถ้ามึงไปเล่นมุขแบบนี้ที่ต่างประเทศ รับรองว่าบริษัทมึงจะไม่เหลือที่ยืนในสังคมอีกเลย

■

■

ในเวลาต่อมาหลังจากซุ่มเงียบไปพักนึง วอลล์ก็ออกมาแสดงความเสียใจเกี่ยวกับการที่เกิดขึ้นดังภาพต่อไปนี้

■

แต่ชาวเน็ทที่ไม่พอใจก็ยังคงด่าวอล์กันต่อไปว่ากรูเป็นเพื่อนเล่นมึงหรา มึงเล่นมุขถั่วดำไม่รู้กี่รอบ

แล้วมาขอโทษกันด้วยภาพง่ายๆแค่นี้ มึงคิดว่าพวกกรูจะยอมรับได้หรา

■

จนเริ่มมีคนไม่พอใจชาวเน็ทที่สนับสนุนกลุ่มเพศทางเลือก บ่นว่าพวกมึงจะอะไรกันันกกันหนาวะ

■

ปัญญาอ่อนฉิบหาย กะอีแค่ไอติมถั่วดำอันเดียว พวกมึงเอามามโนกันเป็นประเด็นเหยียดเพศเสียวุ่นวาย

ไอ้พวกที่มันไม่พอใจประเด็นีน้มันก็มีแต่พวกอัดถั่วดำเท่านั้นล่ะวะ

■

มุขไอติมถั่วดำกรูว่ามันอาจะตาย ทำไมพวกมึงไม่ฮาแต่กลับดราม่ากันรัวๆเลยวะ

พวกมึงอย่าคิดมากเลยน่า ไอติมวอลล์มันเล่ขมุขถั่วดำแล้วไม่เห็นจะมีใครเสียหายซะหน่อย มาขำๆกันเถอะน่า

■

■

ชาวเน็ทตอบว่า กรูไม่ขำว่ะสัส

■

■

มีคนแชร์ภาพจากเพจ Gay the rabbit บอกว่า ไอ้พวกที่ชอบล้ำเพศที่สาม

ด้วยคำประเภทว่า สายเหลืองมั่งล่ะ ระเบิดถังขี้มั่งล่ะ อัดถั่วดำมั่งล่ะ สบู่ตกมั่งล่ะ บลาๆ

พวกมึงอาจขำ แต่เกย์ กระเทยได้ยินคำพวกนี้แล้ว กรูไม่ขำกับพวกมึงด้วยหรอกนะ

■

กลุ่มเพศทางเลือกที่เห็นด้วยก็เสริมว่า กรูล่ะเบื่อไอ้พวกที่ชอบเล่นมุขอัดถั่วดำ ระเบิดถังขี้ฉิบหาย

คือไอ้พวกนี้แม่งยังยึดติดอยู่กับเรื่องพวกนี้ ทั้งๆที่ไม่ว่าจะเพศไหน เวลาเงี่ยนมันก็ต้องเย็ดกันทั้งนั้น

แต่การรณรงค์เกี่ยวกับสิทธิของเพศทางเลือก เราก้าวข้ามเรื่องพวกนี้ไปเป็นชาติแล้วโว้ย

■

ทำไมพวกมึงถึงต้องสนใจแต่ว่าพวกกรูจะเย็ดกันอีท่าไหน ใครเป็นฝ่ายรุกใครเป้นฝ่ายรับ

บางคนก็ถามพวกกรูว่าตีฉิ่งกันสนุกไหม แล้วหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องขำขัน

มันไม่ขำเลยนะ แทนที่จะสนใจว่าพวกกรูรักกันมากแค่ไหน ทำไมเสือกสนแต่เรื่องใต้สะดือของพวกกรู

ถึงพวกกรูจะเป็นเพศที่สาม แต่พวกกรูก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกมึง มีสองแขน สองขา ไม่ได้มีสี่เศียรหกกรซักหน่อย

■

■

ดราม่านี้ขอปิดท้ายด้วยเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับศัพท์แสลงของเฑศทางเลือกในบ้านเรา

เมืองไทยเนี่ย มีศัพท์แสลงหลายคำที่มีนัยยะเกี่ยวกับเรื่องเพศ เช่น ตุ๋ย อัดถั่วดำ ที่หมายถึงการร่วมเพศทางประตูหลัง

หรือการอมนกเขา ที่หมายถึงการโม๊คกุเจี๊ยว ที่มาของศัพท์พวกนี้ก็คือ เมื่อราวๆ 70 ปี ก่อน

มีคนร้ายคนนึง เที่ยวชักชวนเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีมาดูหนังฟังเพลงกินขนม ที่บ้านตัวเอง

จากนั้นก็จับเด็กชายพวกนั้นเย็ดซะ แค่นั้นไม่พอ ยังพาเด็กชายพวกนี้ไปขายบริการให้คนมีเงินด้วย

ตำรวจก็บุกจับกุมตัวหมอนี่ไปดำเนินคดี คนร้ายชื่อนาย “ถั่วดำ”

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ถั่วดำ ก็แปรเปลี่ยนจากถั่วชนิดนึง กลายเป็นศัพท์แสลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

ส่วนคำว่า ตุ๋ย นั้น เดิมทีไม่มีความหมายเทือกนี้เลย เป็นชื่อที่คนไทยใช้กันทั่วไป

จนกระทั่งวันนึงเมื่อราวๆยี่สิบปีก่อนตำรวจจับกุมดำเนินคดีข้าราชการคนนึงที่กระทำชำเราเด็กชายทางทวารหนัก

เป็นข่าวใหญ่โตทางหน้าหนังสือพิมพ์ ข้าราชการคนนั้นมีชื่อว่า “ตุ๋ย” คนไทยจึงใช้คำว่าตุ๋ยในความหมายนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ส่วนคำว่า นกเขา ที่มีความหมายว่ากุเจี๊ยว เช่น นกเขาไม่ขัน หมายถึงเจี๊ยวไม่โด่ อมนกเขา

หมายถึงโม็กเจี๊ยว ที่มาของคำนี้ ก็มาจากคดีที่หมอบังคับให้คนไข้อมกุเจี๊ยวให้

จนเป็นข่าวโด่งดังเมื่อราวๆสามสิบปีก่อน หมอคนนั้นชื่อ หมอนกเขา

สรุปคนไทยแม่งเอาชื่อคนร้ายมาล้อเลียนกันเป้นล่ำเป็นสันขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย

อาห์ แล้วดราม่่านี้จะลงเอยเช่นไร หากคุณถูกล้อด้วยชื่อของคนร้ายคดีข่มขืน

ล่วงละเมิดทางเพศในสมัยก่อน เป็นมึง มึงยอมหรือไม่ พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน!!

https://www.facebook.com/…/?…

https://www.facebook.com/…/479597282207286

https://www.facebook.com/…/?…

https://www.facebook.com/…/?…

■

เรื่องมันมีอยู่ว่ามีรูปพระพม่ากำลังเดินจูงมือหญิงสาวหลุดออกมาในเฟซบุ๊ค คนก็แชร์ภาพนั้นแล้วด่าพระกันตามเรื่องตามราว

ต่อมา เดวิดแอดมินเพจ CSI LA ก็เอาภาพนี้มาวิแคะว่า ไอ้ภาพที่เห็นเนี่ยเป็นภาพตัดต่อจากโฟโต้ชอปนะเออ

จริงๆแล้วพระไม่ได้จูงมือหญิงสาว แต่มีคนตัดต่อภาพมือข้างขวาของหญิงสาวมาเป็นมือข้างซ้ายแล้วให้จับมือกับพระต่างหาก

■

สรุปคือนายเดวิดบอกว่าภาพที่น่าจะเป็นของจริงคือพระเดินมือหงิกแบบในภาพกลางนะครับ

■

ลูกเพจเดวิดที่เห็นด้วยกับเจ้าตัวก็เห็นด้วยกับเดวิดกันใหญ่ บอกว่าโอ้โหสุดยอด

ภาพตัดต่อชัดๆ นี่มันต้องมีคนตัดต่อภาพขึ้นมาเพื่อทำลายพุทธศาสนาแน่ๆ

■

■

■

พอมีคนถามแอดมินว่าใครมันว่างงานตัดต่อภาพแบบนี้วะ แอดมินตอบว่าเป็นเพราะมุสลิมพยายามตัดต่อภาพให้ร้ายชาวพุทธ(?)

■

มีคนไม่เห็นด้วยกับเดวิด บอกว่า ภาพที่มึงอ้างว่าเป็นของจริงต่างหากที่น่าจะเป็นภาพตัดต่อ

พระที่ไหนมันจะเดินมือหงิกยังกับเป็นสันนิบาตแดกแบบนั้นวะ แล้วไอ้ภาพที่มึงอ้างว่าเป็นของจริง

ตำแหน่งอนาโตมี่แม่งเพี้ยนสัสๆ ผู้หญิง ขาอยู่หลังพระ แต่ไหล่อยู่หน้าพระเนี่ยนะ

มึงยืนท่ามูนส์วอล์คแบบไมเคิลแจคสันรึไง

■

ชาวเน็ทคนนึงด่าเดวิดว่ามึงแม่งมั่วฉิบหาย ไอ้นี่มันภาพจริงชัดๆ ตัดต่อซะที่ไหนวะ

■

เดวิดก็ด่าชาวเน็ทว่าหัดใช้สมองมั่งสิมึง ตามีก็หัดสังเกตรายละเอียดปลีกย่อยในภาพบ้าง

■

ลูกเพจเดวิดก็ผสมโรงว่าไอ้งั่งเอ้ย ขนาดภาพตัดต่อแท้ๆมึงยังดูไม่ออกอีกเหรอไอ้โง่ ใครคิดว่าเป็นภาพจริงแม่งโง่เป็นควายสัสๆ

■

ชาวเน็ทก็ตอบเดวิดว่า มึงต่างหากที่ควรจะใช้สมองและสองตาพิจารณาให้ดีๆว่าภาพไหนกันแน่ที่เป็นภาพจริง ภาพตัดต่อ

■

ชาวเน็ทคนนึงชื่อนาย วิริยะ ยืนยันว่าภาพพระจับมือหญิงสาวเป็นภาพจริงอย่างแน่นอน

ดูง่ายๆ มึงดูตำแหน่งตีนของพระกับหญิงสาว หญิงสาวตีนอยู่หลังพระ แล้วไหล่เธอจะไปเกยอยู่หน้าพระได้ยังไง

มันผิดหลักอนาโตมี่โคตรๆ อย่างมากไหล่ควรจะอยู่ในระนาบเดียวกัน ไม่ใช่เกยไปด้านหน้าแบบนี้

ถ้ามึงคิดจะจับผิดภาพแนวๆนี้ รบกวนมึงไปศึกษาเรื่องอนาโตมี่ให้ดีก่อนจะดีกว่านะว่ากายวิภาคของมนุษย์มันเป็นยังไง

ไม่ใช่มโนไปเองว่าต้องเป็นภาพตัดต่อ ที่ก๊อปแขนขวามาใส่แขนซ้ายแน่ๆทั้งๆที่มันไม่ใช่

■

คนที่เห็นด้วบกันายวิริยะก็บอกว่าจริงของมึง ถ้ามันเป็นภาพตัดต่อจริง แปลว่าพระมันเดินมือหงิกแบบนั้นเหรอวะ พิลึกฉิบหาย

■

■

■

แค่นั้นยังไม่พอ วิริยะ ยังอุตส่าห์ไปร่างภาพอธิบายหลักอนาโตมี่ของภาพมาให้ดูกันจะๆ

ว่าภาพนี้อนาโตมี่ถูกต้องแล้ว ไม่ใช่การตัดต่อแน่นอน

■

■

เดวิดก็แคปความเห็นของวิริยะมาโพสลงเฟซว่า มึงมองยังไงวะว่าภาพนี้เป็นภาพจริง แถมยังมีคนเห็นด้วยกับมึงตั้งสองร้อยกว่าคน

■

■

ชาวเน็ทที่เห็นด้วยกับนายวิริยะก็บอกว่า ภาพจริงแน่นอนว่ะ มึงกล้าเดิมพันกับคนที่เห็นด้วยกับเขาสองร้อยกว่าคนมั้ยล่ะ

■

เดวิดบอกว่า ก็เอาสิวะ งั้นมึงเอาชื่อนามสกุลจริงมึงมาลงในนี้เลย ถ้ามึงชนะ มึงเอาเงินไปสามพัน

แต่ถ้ามันเป็นภาพปลอม มึงต้องโกนหัวตัวเองต่อหน้าลูกเพจของกรูตกลงมั้ย

■

เดวิดก็อัพสเตตัสใหม่ เถียงคนที่มาแย้งว่าไม่ใช่ภาพตัดต่อรัวๆว่า มันเป็นภาพตัดต่อแน่นอนเว้ย

ไม่เชื่อมึงดูภาพนี้ มึงจะเห็นว่าแขนช่วงล่างสั้นกว่าแขนส่วนบนและตำแหน่งข้อศอกต่ำกว่าที่ควรเป็น

มือของพระก็ผิดธรรมชาติโคตรๆ มือไม่ควรงอหงิกแบบนั้น

■

ชาวเน็ทก็ถามเดวิดว่ามึงมโนอะไรอยู่วะครับ มึงเคยเรียนกายวิภาคมารึเปล่า

ถ้าไม่เคยเด๋วเด็กสถาปัตอย่างกรูจะสอนให้ ไอ้จุดที่มึงวงไว้มันไม่ใช่ข้อศอก

แต่มันเป็นรอยย่นของเสื้อผ้า ถ้าคนที่ไม่รู้หลักอนาโตมี่จะเข้าใจว่าตรงนั้นคือข้อศอก

แต่ข้อศอกจริงๆมันอยู่ตรงจุดที่กรูวงให้ดูนี่เว้ย

■

เดวิดก็บอกว่าเรื่องแขนเนี่ย กรูก็บอกแล้วไงว่าแขนซ้าย มันเป็นแค่ภาพที่ก๊อปปี้มาจากแขนข้างขวาของผู้หญิง

■

เด็กสถาปัตแย้งว่ามันเป็นภาพที่ก๊อปปี้มาซะที่ไหนล่ะวะ อนาโตมี่แม่งถูกต้องซะขนาดนั้น

มึงลองแหกขี้ตาดูภาพร่างของนายวิริยะ ที่เขาอธิบายหลักอนาโตมี่ของกรณีนี้ก่อนดีกว่ามั้ย

■

เดวิดก็ถามเด็กสถาปัตว่า มึงจบสถาบันไหนมาวะ สงสัยสถาบันนี้จะสอนให้มึงวาดรูปอย่างเดียว

แต่ไม่สอนให้มึงรู้จักคิด มึงสิที่ต้องแหกขี้ตาดูมือพระ แล้วตอบกรูว่ามึงมีปัญญาหักข้อมือตัวเองอย่างพระรูปนี้ได้หรือไม่

■

ชาวเน็ทคนนึงชื่อนายพระจันทร์ ถามเดวิดว่า มึงไม่เคยเดินเกี่ยวแขนกับเมียเดินตามท้องถนนเหรอวะครับ

ที่คนเขาแย้งมึงก็ชัดเจนมากๆแล้ว ไม่งั้นมึงลองอธิบายให้กรูฟังหน่อยดิ ว่าถ้าไหล่ผู้หญิงเกยอยู่หน้าพระ

ทำไมขาของเขาดันอยู่หลังตั้งเป็นก้าวว๊ะ

■

เดวิดก็ท้าทายว่าแน่จริงมึงลองงอมือแบบพระรูปนี้แล้วถ่ายรูปมาโชว์ให้กูดูหน่อยเด่ะ

■

นายพระจันทร์ก็รับคำท้า งอข้อมือโชว์แบบพระในรูปเด๊ะๆ แถมยังเกทับว่า

มือกรูงอได้มากกว่ามือพระอีกสัส อันนี้แม่งเรื่องปรกติโคตรๆ ไม่ต้องรู้เรื่องการถ่ายรูปยังรู้ได้เลยว่ะ

■

เดวิดก็สวนกลับรัวๆว่ามึงอย่ามาแถ แน่จริงมึงจับมือผู้หญิงแแบบหงิกๆให้กรูดูด้วยสิวะ

ทำไมกรูจะไม่รู้ว่ามันทำไม่ได้ ก็กรูลองทำกับแฟนมาแล้ววันนี้ ถ้ามึงจูงมือกันในลักษณะนี้ผู้หญิงแขนหักแน่!!

■

■

■

นายพระจันทร์ก็รับคำท้าอีกรอบ ถ่ายรูปในอริยาบทเดียวกับพระรูปนั้นเป๊ะๆ พร้อมฝ่ายหญิงมาให้ดู

■■

ชาวเน็ทที่ไม่พอใจก็ด่าเดวิดว่ามึงพอเหอะไอ้ห่า จะงอแงไปถึงไหน คนที่เถียงกับมึงเขาก็เอาภาพมาให้ดูกันจะๆแล้วไง

ว่าการจับมือในลักษณะนั้นมันเป็นเรื่องปรกติ เอาสิ ถ้ามึงยังยืนยันว่ามันไม่ใช่ของจริง แน่จริงมึงก็เอาหลักฐานออกมาโชว์ดิวะ

■

ประเด็นคือมึงมันปักธงไว้ในใจแล้วไงว่านี่คือภาพตัดต่อ แล้วก็พยายามแถให้มันเป็นภาพตัดต่อให้ได้

แถมยังโบ้ยว่าเป็นฝีมือโรฮิงญาอีกแหน่ะ ไอ้สัสกรูขรรม นี่มึงคิดว่าตัวเองเป็นสัพพัญญูรู้รอบไปซะทุกเรื่องรึไงวะไอ้ลูกอีช่างมโนเอ๊ย

■

นายวิริยะที่เปิดประเด็นเรื่องอนาโตมี่ก็ถามเดวิดว่าทำไมมึงไม่มาดีเบทกับกรูมั่งล่ะ

เห็นมึงเอากรูไปเสียบประจานให้ลูกเพจมึงด่าว่ากรูคิดได้ยังไง ทำไมกรูถึงคิดว่ามันเป็นภาพจริงไม่ใช่เรอะ

แหม่ มึงกล้าพูดใส่เด็กสถาปัตที่เรียนอนาโตมี่มาว่า สถาบันสอนให้วาดแต่ไม่ได้สอนให้มึงคิดเนี่ย

กรูอ่านแล้วอึ้งมากนะ มึงพูดเหมือนตัวเองมีภูมิความรู้เรื่องอนาโตมี่เหนือกว่าเด็กสถาปัตโคตรๆเลย

แต่ทำไมมึงถึงไม่มีความเข้าใจเรื่อง perspective ที่เป็นหลักพื้นฐานในการวาดภาพแบบสามมิติวะเนี่ย

พวกกรูต่างหากที่ต้องถามมึงว่า สถาบันไหนสั่งสอนให้มึงวางตำแหน่งของหัวไหล่มั่วๆซั่วๆวะครับ

■

ในเวลาต่อมานายพระจันทร์ก็ถามเดวิดว่าเป็นไงครัช มึงเห็นภาพที่กรูถ่ายมาโชว์ให้มึงดูแล้วคิดไงบ้าง

■

เดวิดบอกว่าแขนมึงทำเหมือนพระได้ แล้วแฟนมึงอ่ะทำแขนเหมือนผู้หญิงในรูปได้รึเปล่า

■

นายพระจันทร์ตอบว่าก็เหมือนกันนี่หว่า มึงลองดูภาพที่กรูเอามาโชว์ให้ดูดีๆดิ

ถ้ามึงเข้าใจอนาโตมี่ มึงจะรู้ว่าไม่มีทางเลยที่ไหล่ผู้หญิงจะไปเกยหน้าพระ แต่ขายังอยู่หลังพระ

■

เดวิดก็สวนกลับว่าแน่จริงมึงก็อธิบายเรื่องแขนของผู้หญิงที่มันหงิกๆงอๆแบบนี้สิวะ

■

ถ้ามันไม่ใช่ภาพตัดต่อขึ้นมา แล้วแขนของผู้หญิงมันจะหงิกๆงอๆแบบนี้ได้ยังไง

■

นายพระจันทร์ก็อธิบายว่ามันเป็นเรื่องของ perspective ไง คือมันเป็นภาพสามมิติที่มีความกว้างความลึก

ถ้ามึงจะวาดภาพอธิบายอนาโตมี่ของรูปนี้ มึงต้องวาดแบบที่นายวิริยะวาด ไม่ใช่ลากเส้นแบบเด็กประถมเหมือนที่มึงทำอยู่

■

■

■

แต่เดดวิดยังไม่ยอมแพ้ ไปตัดต่อภาพมาเพื่ออธิบายว่ามีคนจงใจจะตัดต่อภาพนี้จริงๆ แต่มือข้างที่ก๊อปมามันไม่ยาวพอ

ก็เลยต้องทำแขนของผู้หญิงให้ยาวขึ้นแบบผิดอนาโตมี่เพื่อให้ไปจับกับมือของพระได้

■

ไม่เชื่อพวกมึงก็ดูภาพนี้เอาก็แล้วกันว่ามันเป็น perspective รึเปล่า

■

ชาวเน็ทก็บอกเดวิดว่า มันคือ perspective แบบเป๊ะๆเลยว่ะ ไม่ใช่ภาพตัดต่ออย่างแน่นอน

ทำไมมึงถึงยึดติดว่าภาพนี้มันต้องเป็นภาพตัดต่อให้ได้อยู่ลูกเดียวเลยวะ

■

มีคนอธิบายหลักการของ Perspective คร่าวๆดังต่อไปนี้

■

ถ้าให้อธิบายเป็นรูปสามมิติแบบง่ายๆ ก็ประมาณนี้น่ะครับ จะเห็นว่าตำแหน่งใกล้ไกล

กับขนาดของแขนจะเปลี่ยนไป เมื่อระยะของวัตถุนั้นแตกต่างกัน (เรื่องนี้จ่าเรียนตอน ม.4)

■

เด็กสถาปัตก็บอกกับเดวิดว่ามึงพอเหอะ มันชัดเจนแล้วว่านี่ไม่ใช่ภาพตัดต่อ

มึงยังจะดิ้นเอาชนะให้ได้ไปถึงไหน ที่พวกกรูมาเถียงกับมึงนี่ไม่ได้มีจุดประสงค์อ่นใดเลย

นอกจากเอาข้อเท็จจริงกับหลักการที่ร่ำเรียนมา มาอธิบายให้มึงเข้าใจ

แต่มึงกลับหาว่าพวกกรูเรียนมาแต่ไม่รู้จักคิด มีมึงคิดเป็นอยู่คนเดียวงั้นสิ

ทั้งๆที่หลายๆเรื่องที่มึงโพสมาก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า มึงไม่มีความรู้ความชำนาญใดๆในเรื่องที่มึงพูดอยู่เลย

■

แต่เดวิดก็ยังยืนกรานว่ากรูไม่เชื่อว่าพระพม่าจะกร่างถึงขั้นเดินจูงมือสาวกลางถนน มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

■

ถ้ามึงอยากเอาชนะกรูให้ได้ แน่จริงมึงมาใช้ระบบลูกขุนตัดสินกัน ให้ประชาชนเขาตัดสินกันเลยว่า

เขาเห็นด้วยกับกรูว่ามันเป็นภาพตัดต่อ หรือเห็นด้วยกับมึงว่ามันเป็นภาพจริง ถ้าเสียงส่วนใหญ่คิดเห็นยังไงก็ให้ข้อเท็จจริงเป็นไปตามนั้น

■

เด็กสถาปัตก็ด่าเดวิดว่ามึงจะบ้าไปแล้วเรอะ มึงจะใช้วิธีการลงมติ มาตัดสินข้อเท็จจริงได้ยังไงกัน

■

หลังจากนั้นเดวิดก็ยังยืนกรานรัวๆว่ากรูถูก! กรูชนะ! มันเป็นภาพตัดต่อที่ถูกตัดต่อขึ้นมาให้ร้ายพระพม่า!!

ในขณะที่นายวิริยะ ก็ยังคงเฝ้าโพสลงในเพจรัวๆว่าเมื่อไหร่มึงจะมาขอโทษกรูวะไอ้แอดมินขี้เปียกช่างมโน

ถ้ามึงไม่ยอมขอโทษกรู กรูก็จะล้อเลียนมึงเรื่องพระมือหงิกไปเรื่อยๆนะเว้ย เจ้าเดวิดหนูน้อยนักสืบจอมมโน

■

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร พระพม่ารูปนั้นเดินมือหงิกจริงหรือไม่

พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน

https://www.facebook.com/…/?…

https://www.facebook.com/…/853380611406332

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เว็บพันทิป มีคนตั้งกระทู้จวก “กลุ่มนิสิตเกษตร” เกี่ยวกับการลอกไอเดียทำเสื้อยืด

ประมาณว่ากลุ่มนิสิตจุฬาเนี่ย เขาทำเสื้อยืดลายนึงมาขาย เพื่อนำกำไรไปมอบให้กับสภากาชาด

ปรากฏว่าในเวลาต่อมา จขกท เขาไปเห็นกลุ่มนิสิตเกษตร ทำเสื้อแบบเดียวกับรุ่นน้องของเขาออกมาขายเด๊ะๆ

■

พอทางนิสิตจุฬารู้เรื่องเข้าก็ทักท้วงไปว่าทำไมเมิงไม่ดีไซน์เองว๊ะ นิสิตเกษตรก็ต่อรองว่า

ทำมาแล้วล๊อตนึง ขอขายก่อนได้ไหม แล้วจากนี้ไปจะไม่ทำแล้ว นิสิตจุฬาก็เสนอเงื่อนไขว่า

ถ้าจะขายเสื้อล๊อตนี้ต้องเอากำไรไปบริจาคให้สภากาชาดด้วยนะ (หัวแหลมมากนู๋)

ทางนิสิตเกษตรก็ตกลงตามเงื่อนไขนี้

■

ต่อมา จขกท อ้างว่าพอขายเสื้อหมด ทางนิสิตจฬาก็ติดต่อไปเพื่อทวงถามตามที่ตกลงกันไว้

ปรากฏว่าโดนด่ากลัมาว่าพวกชั้นทำเสื้อขายเพื่อแสวงหากำไร ไม่ได้อยากเอากำไรไปบริจาคว้อย

แค่นั้นไม่พอยังปั๊มเสื้อล๊อตใหม่ออกมาขายหากำไรกันรัวๆด้วย ทางกลุ่มนิสิตจุฬากับ จขกท

ก็ไม่พอใจดิครับ เถียงกันไปเถียงกันมา  จึงเป็นที่มาของกระทู้แฉกระทู้นี้นั่นเอง

■

ชาวพันทิปฟังความจาก จขกท จบก็นั่งชงชาระมิงพลางกระดิกตีนพลาง รอให้นิสิตเกษตรมาชี้แจงมั่ง

■

ทีนี้มันเริ่มดราม่าเมื่อมีนิสิตเกษตรคนนึง ถามจขกท ว่า กะอีแค่เรื่องแค่นี้มันถึงกับต้องตั้งกระทู้ประจานกันเลยเหรอยะ

เข้าใจว่าฝั่งนิสิตเกษตรมันทำผิดนะ แต่ไม่เห็นจะต้องมาเหมารวมกันแบบนี้เลย นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกมึงนะคะ

มึงก็ไปเคลียร์กันเองให้จบๆดิ จะลากชื่อ นิสิตเกษตร มาเอี่ยวด้วยทำไม

■

ชาวพันทิปก็บอกกับนิสิตเกษตรว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กนะมึง การละเมิดลิขสิทธิในยุคนี้เป็นเรื่องใหญ่ค่อดๆ

แล้วทาง จขกท กับรุ่นน้องนิสิตจุฬามันก็พยายามเคลียร์กันส่วนตัวแล้วไง แต่มันไม่จบ ถึงต้องเอามาแฉแบบนี้

■

ซึ่งพวกกรูมองว่าที่ จขกท ทำลงไปมันก็ถูกต้องแล้วนะ ต้องแฉให้สังคมในเกษตรเข้าใจว่า

เสื้อยืดลายนี้มันละเมิดลิขสิทธิชาวบ้านมานะ ไม่ควรอุดหนุนมัน ไม่งั้นไอ้คนปั๊มเสื้อขาย มันไม่มีทางรู้สำนึกหรอกว่ะ

■

นิสิตเกษตรเถียงว่าเธอไม่ได้มองเรื่องปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นเรื่องเล็กนะ

แต่ไอ้คนที่ก่อเรื่อง มันเป็น นิสิตเกษตรกลุ่มเล็กๆ จากนิสิตเกษตรนับหมื่นคน

คนทำก็ให้มันรับผิดชอบไปคนเดียวดิ จะลากนิสิตเกษตรคนอื่นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มารับผิดชอบทำไม

■

ชาวพันทิปตอบว่า ถูกกกก นิสิตเกษตรคนอื่นไม่ต้องรับผิดชอบ แต่พวกมึงควรรับทราบไว้

ว่าเสื้อลายนี้มันก๊อปเขามา และไม่อุดหนุนมันอีกต่อไป

■

ชาวเน็ทคนนึงบอกว่าถ้านิสิตเกษตรกลุ่มนั้นมันทำผิด ก็ไปดำเนินคดีกับมันตามกฏหมายดิ

แต่การที่มึงตั้งกระทู้จวกไอ้นิสิตกลุ่มนั้นโดยพาดหัวว่า “กลุ่มนิสิตเกษตร”

มันเท่ากับว่ามึงกำลังหมิ่นประมาทนิสิตเกษตรทั้งสถาบันอยู่นะ ในเมื่อมึงรู้อยู่แล้ว

ว่าใครเป็นคนทำผิด มึงก็ระบุแบบจำเพาะเจาะจงลงไปเลยเซ่ จะมาพูดกว้างๆแบบเหมารวมว่ากลุ่มนิสิตเกษตรทำไม กรูรับไม่ได้ว่ะ

■

มีศิษย์เก่าเกษตรแสดงความเห็นว่า ชั้นอ่านกระทู้นี้แล้วไม่เห็นจะรู้สึกว่าโดนด่าเหมารวมตรงไหน

ถูกผิดก็ว่าไปตามเนื้อผ้าดิ ไม่เกี่ยวกับสถาบันการศึกษาซะหน่อย ส่วนพวกที่ปกป้องนิสิตเกษตรกลุ่มนี้

มึงคิดให้ดีๆนะว่ามึงกล้าใส่เสื้อที่ลอกเลียนไอเดียเพื่อหาเงินบริจาคให้สภากาชาดมาใส่บนสารร่างมึงจริงๆน่ะเหรอ

■

มึงอย่าปกป้องสถาบันในทางที่ผิดดิ ถ้ามีคนในสถาบันการศึกษาเดียวกันกับมึงทำผิด มึงก็ด่ามันไป

ไม่ต้องมาทำเนียนว่าพวกชั้นไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องมาพาดพิงสถาบันของพวกชั้นด้วย

เวลาที่มีพวกพ้องมึงทำดีได้รับรางวัล พอคนจะชื่นชม เขาก็ชื่นชมพวกมึงแบบรวมๆว่า นิสิตเกษตรกลุ่มนี้เก่งนะ

ทำไมเมิงไม่ออกมาโวยวายว่าอย่ามาเหมารวมนะ พวกกรูไม่ได้ทำดี คนที่ทำดีเป็นแค่นิสิตเกษตรไม่กี่คนมั่งล่ะ

■

คนที่อ่านกระทู้นี้เขาแยกแยะได้น่า ว่านิสิตเกษตร ในที่นี้มันหมายถึงคนกลุ่มเดียวที่ทำเสื้อยืดออกมาขาย

ยังไม่มีใครเหมารวมมึงทั้งสถาบันเลยซักคน แล้วไอ้คนที่ทำนี่มันก็นิสิตเกษตรจริงๆ

ถ้ามึงไม่ให้ จขกท ใช้คำว่า นิสิตเกษตร แล้วมึงจะให้มันใช้สรรพนามไหนเรียกไอ้เด็กกลุ่มนี้ล่ะวะ

■

อมยิ้มคนนึงบอกว่าการก๊อปผลงานชาวบ้านมาขายเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน

ถ้ามึงกลัวไม่อยากโดนเหมารวมไปด้วย เห็นเพื่อนทำผิดก็ต้องตักเตือนเพื่อนสิคะ

■

นิสิตเกษตรก็เถียงว่ามหาลัยตั้งกว้างใหญ่ ใครมันจะไปรู้จักคนทั้งมหาลัยได้วะคู้ณณณณ

ที่ขนาดชั้นเรียนอยู่เกษตรเหมือนกัน เพิ่งจะรู้ว่ามีเสื้อลายนี้ขายก็จากกระทู้นี้นี่แหละ

■

■

ชาวพันทิปตอบว่าชั้นก็ไม่รู้จักคนที่เรียนในมหาลัยเดียวกันทุกคนเหมือนกันว่ะ

แต่ถ้ามีเพื่อนร่วมสถาบันทำผิดแล้วถูกตั้งกระทุ้แฉ ชั้นจะไม่ออกมาดิ้นเพียงเพราะชื่อมหาลัยถูกพาดพิงหรอกนะ

■

พวกกรูแยกแยะได้ว่าคนผิดก็คือนิสิตบางคน ไม่มีใครเขาบอกว่ามหาลัยเป็นคนผิดเลยซักคน

แล้วพวกมึงจะออกมาปกป้องชื่อเสียงของสถาบันกันทำไม จะรักสถาบันก็รักอย่างมีเหตุผลกันหน่อยเห๊อะ

■

ศิษย์เก่าเกษตรคนอื่นๆก็เห็นด้วยว่ามึงอย่าโหนชื่อมหาลัยกันนัก ไอ้ความคิดที่ว่า

มหาลัยข้าเลิศสุด แจ่มสุด ใครก็ห้ามแตะต้องน่ะ เพลาๆลงหน่อยเหอะ อะไรมันจะอ่อนไหวขนาดนั้น

งานนี้ถ้าคนทำผิดเป็นฝั่งนิสิตจุฬา จขกท เขาก็คงเรียกแบบรวมๆว่านิสิตจุฬาเหมือนกันนั่นแหละ

■

ชาวเน็ทคนนึงบอกว่าถึงนิสิตเกษตรจะทำผิดจริง แต่มึงควรฟังความทั้งสองข้างก่อนมั้ยแล้วค่อยด่า

และถ้าจะด่า ก็ควรด่าคนทำสิวะ ไม่ใช่ด่ามหาลัย ประเด็นนี้มันอยู่ที่กลุ่มนิสิตจุฬานั่นแหละ

ว่ามันได้ไปจดลิขสิทธิ์ลายเสื้อเอาไว้รึเปล่า ถ้าจดแล้วก็ฟ้องแม่งเลย แต่ถ้าไม่

แปลว่านั่นคือทรัพย์สินทางปัญญาที่ใครๆก็สามารถลอกเลียนแบบได้

ต่อให้เกษตรไม่ทำ มหาลัยอื่นเขาก็คงทำอยู่ดีอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

ไม่งั้นอีกหน่อย การสกรีนชื่อมหาลัยบนเสื้อยืดก็คงกลายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ไปเสียหมด

■

ชาวพันทิปแย้งว่า ทรัพย์สินทางปัญญาไม่ใช่สิ่งที่ใครๆก็สามารถเอาไปใช้ได้นะเว้ย ไม่งั้นจะมีกฏหมายลิขสิทธิ์ไว้ทำไมวะ

■

มันไม่ใช่ว่าแค่มึงสกรีนชื่อมหาลัยบนเสื้อยืดแล้วจะกลายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์นะ

มึงแหกขี้ตาดูด้วยว่าเสื้อยืดของนิสิตเกษตรกับนิสิตจุฬามันเหมือนกันขนาดไหน

นอกจากเปลี่ยนชื่อมหาลัยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างแม่งเหมือนกันเป๊ะๆ

■

ขนาดสี ฟ้อนท์ แพทเทิร์นในการวางแม่งยังลอกมากเลยแบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าลอกเลียนแบบแล้วจะให้เรียกว่าอะไร

■

■

อมยิ้มอีกคนอ้างตัวว่าเป็นนิสิตจุฬา บอกว่ากระทู้นี้แม่งไร้สาระฉิบหาย เสื้อลายแบบนี้เนี่ยนะ

มึงออกแบบดีไซน์ลายเสื้อยืดมาจริงๆน่ะเหรอ แค่เอาตัวอักษรมาวางแปะบนเสื้อยืดแบบนี้

ใช้ไมโครซอฟท์เวิร์ดมันก็ทำได้ ถ้ามันเป็นลายสวยๆเก๋ไก๋ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันแค่ตัวอักษรธรรมดาๆ

แบบนี้กรูไม่นับว่าเป็นงานออกแบบลายเสื้อยืดว่ะ แต่ถ้ามันมีลิขสิทธิ์จริง มึงเอาหลักฐานมาโชว์ให้ดูหน่อยซิ

ว่าเสื้อยืดลายนี้ได้รับการจดลิขสิทธิ์ไม่ให้ผู้ใดล่วงละเมิดแล้วจริงๆ

■

นิสิตจุฬาคนนึงก็ถามความเห็นนี้ว่า มึงเป็นนิสิตจุฬาจริงๆเหรอวะ ถ้าไม่รู้เรื่องลิขสิทธิ์ก็ไปตั้งใจเรียนหนังสือซะไป๊

แหม ทำเป็นบอกว่าแค่อักษรโง่ๆไม่นับเป็นงานออกแบบ กุจะบอกอะไรให้ ต่อให้มึงเอาเสื้อยืดมาป้ายหมึกลงไปจุดเดียว ก็ถือเป็นดีไซน์ของมันแล้ว

และที่สำคัญ ลิขสิทธิงานศิลปะใดๆจะได้รับความคุ้มครองทันทีตั้งแต่ผลงานชิ้นนั้นถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องไปจดลิขสิทธิ์ว่ะ

ก่อนที่มึงจะประจานตัวเองและสถาบันไปมากกว่านี้ รบกวนมึงกลับไปอ่านกฏหมายลิขสิทธิอีกซักสิบเที่ยวเหอะ ปฎิบัติ!!

■

นิสิตจุฬา(?)รายเดิมตอบว่า กรูไม่ได้ประจานตัวเองเว้ย แต่กรูกำลังเซ็งที่รุ่นน้องกรูเอาชื่อเสียงสถาบันมาประจานซะมากกว่า

ขอถามหน่อยว่าพวกมึงที่ออกแบบลายเสื้อนี้ พวกมึงใช้ฟ้อนท์อะไร ใช้โปรแกรมถูกลิขสิทธิ์ออกแบบรึเปล่า

■

กรูอ่านกระทู้มาจนถึงป่านนี้ ยังไม่เห็นจะมีหลักฐานชิ้นใดเลยที่ยืนยันว่าพวกมึงไปจดลิขสิทธิ์ลายเสื้อแล้วจริงๆ

ตราบเท่าที่มึงยังไม่จดลิขสิทธิ์ มึงก็ไม่มีสิทธิที่จะโวยวายหรือเอากฏหมายมาขู่คู่กรณีนะเว้ย

แน่จริงมึงเอาหลักฐานเรื่องการจดลิขสิทธิ์มาให้กรูดูสิวะ ไม่งั้นกรูจะเข้าข้างฝั่งนิสิตเกษตรต่อไปนะ แบร่ๆ

■

ชาวพันทิปก็บ่นว่า พอมีกระทู้แบบนี้ทีไร กรูเป็นต้องได้เห็นคนไทยออกมาแสดงความง่าวเกี่ยวกับกฏหมายลิขสิทธิ์ทุกทีเลยว่ะ

ต้องให้บอกอีกซักกี่ล้านครั้งวะพวกมึงถึงจะเข้าใจว่า ผลงานศิลปะ วรรณกรรม งานศิลป์ มีลิขสิทธิ์ในตัวเองโดยที่มึงไม่ต้องไปจดลิขสิทธิ์ว้อย!!

■

ล่าสุดมีนิสิตเกษตรออกมาชี้แจงว่าเรื่องลายเสื้อที่เหมือนกันเนี่ย เป็นเพราะคนที่ออกแบบลายเสื้อ

อ้างว่ารู้จักกับกลุ่มนิสิตจุฬาที่ขายเสื้อลายนี้อยู่ คุยกันได้ แต่จริงๆแล้วไอ้ที่รู้จักกันเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์

คนออกแบบเสื้อของเกษตรไม่ได้รู้จักมักจี่กับคนออกแบบเสื้อของจุฬาแต่ประการใด

ทางนิสิตเกษตรพอรู้เรื่องก็ยอมรับผิด ติดต่อไปคุยกับทางนิสิตจุฬา แล้วก็ตกลงกันว่าจะเอารายได้ไปร่วมบริจาค

■

จากนั้นก็ขายเสื้อไประยะนึง จนมีคนของทางนิสิตจุฬาติดต่อมาว่าจะเอาไงเรื่องเงินบริจาค

ทางจุฬาก็คำนวนราคากับปริมาณเสื้อยืดที่ทางเกษตรปั๊มมา แล้วเสนอให้บริจาคเงิน 13000 บาท เข้าสภากาชาด

ทางนิสิตเกษตรก็เริ่มไม่โอเคละ ต่อมามีการติดต่อให้เร่งบริจาคเงินเข้าสภากาชาด ทางนิสิตเกษตรก็บอกว่า เหนื่อยยยยย

รู้ตัวว่าผิดนะแต่พยายามแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องมาด่าว่ากันแบบนี้ด้วย ทางนิสิตเกษตรก็เลยตัดสินใจ

เลิกขายเสื้อแม่งเลย แล้วเอาเงินที่ได้ทั้งหมดไปบริจาค ส่วนเสื้อยืดที่เหลือก็ยกให้ทางนิสิตจุฬาก็แล้วกัน

แต่ทางนิสิตจุฬาไม่รับเพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร (แหงล่ะ) จากนั้นก็คุยไปคุยมาว่าจะทำไงกันต่อไปดีเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก

ก็ได้ความว่าต่างคนต่างเดินละกัน ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก ถ้าจะเอาเงินไปบริจาคก็ต่างคนต่างทำก็แล้วกัน

■

ส่วนประเด็นที่ จขกท กล่าวหาว่าทางกลุ่มนิสิตเกษตรยังคงปั๊มเสื้อขายต่อนั้นไม่เป็นความจริง

เพราะล๊อตเก่ายังขายไม่หมดเลย จะปั๊มล๊อตใหม่ทำไม ไอ้ที่เห็นประกาศขายเพิ่มเติมนั้นก็คือล๊อตเดิมที่ยังขายไม่หมดนั่นแหละ

จากนั้นนิสิตเกษตรคนนี้ก็จวกทาง จขกท ว่าการลากชื่อสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

เพราะทำให้ทั้งนิสิต พรีเซ็นเตอร์ และสถาบันเสียหาย ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างบุคคลที่เคลียร์กันจบไปนานแล้ว

■

แต่ชาวพันทิปฟังคำชี้แจงของนิสิตเกษตรแล้วยังคงติดใจ ถามนิสิตเกษตรว่า

คนที่ลากชื่อสถาบันมาเกี่ยว ก็คือมึงที่ปั๊มเสื้อลายชื่อสถาบันตัวเองไม่ใช่เรอะ จะไปโทษคู่กรณีเขาทำไมวะ

■

แล้วการที่เสื้อของพวกมึงขายไม่ออก จนเอาเงินไปบริจาคเข้ากาชาดตามที่ตกลงไว้ไม่พอนั้น

มันเป็นความผิดพลาดในการบริหารจัดการของพวกเอ็งเองนี่หว่า ก็ดันขายของไม่ถึงเป้าเองนิ

แล้วจะมาโวยวายว่าเหนื่อยแล้ว ท้อแล้ว ไม่อยากทำต่อแล้ว แล้วยกเสื้อเกษตรให้นิสิตจุฬาไปขายต่อได้ไงวะ

จริงๆมึงผิดตั้งแต่ต้นแล้วที่ไปละเมิดลายเสื้อของเขา จุฬามีสิทธิห้ามไม่ให้มึงขายเสื้อยังได้

แต่นี่เขายังใจดีให้มึงเอาเสื้อไปขายแล้วเอารายได้ไปช่วยกันบริจาค แล้วมึงจะยังโทษใครได้ถ้าไม่ใช่ตัวเอง

■

ดราม่านี้ก็คงเป็นบทเรียนให้กับน้องๆที่คิดจะปั๊มเสื้อสกรีนชื่อมหาลัยขายได้เป็นอย่างดีนะครัช

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร ถ้าไม่ให้เรียกคู่กรณีในดราม่านี้ว่า กลุ่มนิสิตเกษตร จะให้เรียกว่าอะไร

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้เหล่านี้โดยพลัน!!

http://pantip.com/…/33820833

http://pantip.com/…/33824370

https://www.facebook.com/…/905344722844975

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นเขามีอนิเมเรื่องนึงชื่อ เลิฟไลฟ์ หรือชื่อไทยว่า

ขบวนการไอดอลสาวพราวสเน่ห์พิทักษ์จักรวาล กำลังฉายในโรงหนัง

■

เดบิทภาพ External Link

คนก็ไปดูกันท่วมท้น ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คนที่ไปดูในโรงหนังเนี่ย ถ้าซื้อป๊อบคอร์นหน้าโรง

จะได้แฟ้มเอกสารลายอนิเมเรื่องนี้ไปสะสม ของมีจำนวนจำกัด ก็มีคนจำนวนนึง

ซื้อป๊อบคอร์นแล้วทิ้งถังขยะเลย เพราะอยากได้แต่แฟ้มเอกสารจำนวนจำกัดเท่านั้น

สื่อที่ญี่ปุ่นเขาก็หยิบยกประเด็นนี้มานำเสนอ

http://r25.yahoo.co.jp/…/?…

นายโกกิ เจ้าเก่าก็เอาประเด็นนี้มาโพสลงเฟซของตัวเองแล้วถามพวกที่ทำแบบนี้ว่า

พวกเมิงเป็นเด็กที่ซื้อขนมไอ้มดแดงเพื่อเอาของสะสมแล้วทิ้งขนมไปเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนรึไงฟะ

■

ขนมไอ้มดแดงที่โกกิพูดถึงนี่หน้าตาเป็นไงก็ไม่รุ้นะ เกิดไม่ทัน แต่สมัยจ่าเด็กๆนี่ มีขนมที่แถมของเล่นเยอะมาก

ยกตัวอย่างเช่น ไอ้ที่จ่าสะสมหนักๆก็ตุ๊กตุ่นไอ้มดแดง หน้าตาแบบในภาพข้างล่าง ทุกวันนี้ไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว ใครเอาไปทิ้งวะ

■

เดบิทภาพ http://topicstock.pantip.com/…/A10090840.html

ชาวเน็ทที่เห็นด้วยกับโกกิก็บอกว่าไอ้พวกที่ทำแบบนี้มันไม่รู้สึกเสียดายของกินมั่งรึไงวะ

ถึงมึงจะซื้อป๊อบคอร์นเพราะอยากได้แฟ้ม แต่มึงไม่จำเป็นต้องทิ้งถังขยะก็ได้นี่หว่า

เก็บไว้กินวันหลังก็ได้ หัดคิดถึงคนที่เขาไม่มีอันจะแดกมั่งดิวะ

■

มีคนแย้งว่า ไอ้พฤติกรรมซื้อขนมหวังของสะสม แล้วเอาขนมทิ้งไป สนใจแต่ของแถม

กรูว่ามันเป็นเรื่องปรกตินะ คนไทยก็ทำกันเยอะแยะ อย่างสมัยก่อน พวกโอเดงย่า คัมคัม โดราเอม่อน

ขนมพวกนี้มีใครเขากินกันมั่งวะ กรูเห็นซื้อเอาของแถมแล้วทิ้งขนมลงถังขยะทั้งนั้น

■

■

■

ชาวเน็ทก็บอกว่านั่นคือเรื่องสมัยพวกมึงยังเด็กๆ สมัยนั้นพวกมึงยังไม่มีวุฒิภาวะ

จะทำอะไรเด็กๆไม่รู้จักยั้งคิดแบบนั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ถ้าโตๆกันแล้วแต่ยังทำอยู่ อันนี้อีกเรื่องนึงว่ะ

■

คนที่เคยซื้อขนมมาทิ้งแล้วเก็บแต่ของสะสมสมัยเด็กๆบอกว่าสมัยก่อนกรูก็เคยทำนะ

แต่ทุกวันนี้พอโตขึ้น รู้รสชาติของความอดอยากว่าการไม่มีอะไรกินแม่งทรมานขนาดไหน

กรูไม่เคยกินทิ้งกินขว้างอีกเลย ซื้ออะไรมาต้องแดกให้หมด ไม่งั้นกรูไม่ซื้อว่ะ เสียดายเงิน

■

สำหรับคนที่เกิดไม่ทันยุคนั้น ขนมที่ว่าหน้าตาแบบนี้นะครัช ซื้อแล้วจะได้ของแถม

เป็นพวกการ์ดสะสมมั่ง การ์ดพลังเอาไว้เล่นเขี่ยไพ่กันมั่ง หรือสติ๊กเกอร์ไว้แปะในสมุดแลกของรางวัล

ปล.โอเดงย่าอร่อยนะเว้ย ไอ้พวกที่ซื้อแล้วไม่แดกนี่เสียดายของสัสๆ

■■

ความเห็นนึงบอกว่า คนที่โกกิพาดพิงถึงอ่ะ มันจะทำอะไรก็เรื่องของมันดิ

เงินก็เงินมัน ของที่มันไม่ได้กินก็ทิ้งลงถังขยะ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

แล้วจะไปยุ่งกับเขาทำไมวะ เขาไม่ได้เอาป๊อบคอร์นเทเรี่ยราดในโรงหนังซักหน่อย

หรือมึงอยากให้คนที่ซื้อป๊อบคอร์นเพราะหวังของแถม ถือไมค์ป่าวประกาศว่ากรูไม่แดกป๊อบคอร์น

มีใครสนใจแดกของเหลือของกรูมั้ย พวกมึงถึงจะพอใจกัน แล้วการทิ้งป๊อบคอร์นลงถังขยะ

มันก็เป็นเรื่องปรกติโคตรๆ กรูเห็นคนที่ดูหนังโรงแต่กินไม่หมด เอาป๊อบคอร์น เอาน้ำอัดลมมาทิ้งลงถังกันเยอะแยะ

■

■

แต่คนที่เห็นด้วยกับโกกิบอกว่า มึงคิดแบบนี้ก็ไม่ถูก ถึงจะเป็นเงินของมัน แต่ของที่มันทิ้ง

นับเป็นทรัพยากรของโลกอันมีคุณค่า มึงไม่ควรทิ้งมันให้สูญเปล่าแบบนี้นะเว้ย

การกินทิ้งกินขว้างแบบเนี้ย บอกตรงๆว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้จิตสำนึกโคตรๆเลยว่ะ

■

■

■

■

คนที่ไม่เห็นด้วยแย้งว่าต่อให้ไอ้พวกนั้นแดกป๊อบคอร์นจนหมด

มันก็ไม่ได้ช่วยให้เด็กเอธิโทเปีย ซูดาน ที่หิวโหย อิ่มท้องขึ้นมาได้หรอกนะ

■

มึงลองคิดดูสิว่าถ้ามีคนอยากได้ของที่ระลึกจำนวนจำกัดที่แถมเฉพาะคนที่ซื้อป๊อบคอร์น

แต่เขาไม่อยากกินป๊อบคอร์น หรือกินป๊อบคอร์นแล้วแพ้จนต้องเข้า รพ แล้วจะให้เขาทำไง

จะให้เขาไม่มีสิทธิซื้อถ้าไม่กินให้หมดรึไงวะ ขนาดคนที่ซื้อเพราะหวังจะกินป๊อบคอร์นด้วย

กรูเห็นคนกินกันไม่หมดตั้งเยอะแยะ เค็มขนาดนั้นแดกหมดก็ความดันพุ่งกระฉูดกันพอดี

หรือบางคนออกจากโรงหนังแล้วต้องไปทำธุระต่อ ไม่สะดวกถือป๊อบคอร์นที่เหลือไปด้วย

มึงจะให้เขาทำยังไง ถ้าไม่ใช่ทิ้งลงถังขยะวะ

■

คนที่เห็นด้วยกับโกกิบอกว่า มึงก็เอาขนมไปให้คนอื่นเขาแดกต่อเซ่ จะทิ้งทำซากอะไรเล่า

■

ชาวเน็ทก็ถามความเห็นนี้ว่า ใครเขาจะอยากแดกของเหลือของชาวบ้านวะ

ไอ้ห่า พูดน่ะพูดง่าย แต่ทำจริงมึงจะให้ทำยังไง จะให้ถือถังป๊อบคอร์นเดินไปมาหน้าโรงหนัง

ถามคนที่เดินผ่านไปมาว่ามีใครอยากแดกป๊อบคอร์นมั้ย ช่วยกรูแดกหน่อย งี้เหรอวะ

■

■

■

ถ้าพวกมึงจะตำหนิคนที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ มึงอย่าด่าแต่ผู้บริโภค มึงหัดด่าผู้ขายบ้าง

ว่ามึงจะขายป๊อบคอร์นแบบถังมโหฬารทำหอกอะไร ทำไมไม่รู้จักขายถังเล็กๆบ้าง

แล้วก็หัดแถมของที่ระลึกให้คนที่ซื้อป๊อบคอร์นถังเล็กๆหน่อย ไม่ใช่แถมให้เฉพาะคนที่ซื้อถังใหญ่ๆเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น เวลากรูซื้อป๊อบคอร์นหน้าโรงหนังเพื่อเอาของแถมเนี่ย กรูก็เลือกไซส์ที่พอเหมาะกับกระเพาะกรูนะ

แต่บางทีมันดันเหลือแต่ถังป๊อบคอร์นไซส์ยักษ์ ซึ่งถ้าแดกให้หมดนี่ความดันกรูพุ่งปริ๊ดๆแน่นอน

เคยมีคนสอนกรูว่าอย่ากินของเหลือ เห็นใจคนอื่นที่เขาไม่มีจะกินบ้าง แต่พอโตขึ้น

ก็มีคนสอนกรูว่าจะทำอะไรต้องรู้จักรักตัวเองและรักผู้อ่านบ้าง ถ้ากินป๊อบคอร์นจนหมดแล้วทำร้ายตัวเอง จะทำไปทำไมวะ

■

มีแฟนอนิเมเรื่องนี้คนนึง แย้งนายโกกิว่าบางคนอาจจะกินป๊อบคอร์นไม่หมดแล้วเอากลับไปกินต่อที่บ้าน

แต่หลายๆคนเขาก็ไม่ทำกัน กินไม่หมดก็ทิ้ง เป็นเรื่องปรกติ อย่าว่าแต่ที่ญี่ปุ่นเลย ที่เมืองไทยก็เป็น

อย่าไปตัดสินใครจากภาพแค่ภาพเดียวดิ เผลอๆคนที่ทิ้งจะเป็นแฟนอนิเมเรื่องนี้รึเปล่าเราก็ไม่รู้

ถ้าจะเอาเรื่องแค่นี้มาบอกว่าแฟนอนิเมเลิฟไลฟ์เป็นคนไม่ดี ไม่เห็นคุณค่าของของกิน ก็คงไม่ถูกมั้ง

ยกตัวอย่างง่ายๆ ลองดูในภาพข้างล่างนะ เป็นภาพถังขยะหน้าโรงหนังอนิเมเรื่องไอดอลมาสเตอร์

เรื่องที่ไอ้คนวาดการ์ตูนเรื่องเบอร์เซิร์กติดงอมแงมจนไม่เป็นอันทำมาหาแดกนั่นล่ะครับ

■

เห็นมั้ยว่าถังขยะแม่งก็มีกล่องใส่ป๊อบคอร์นล้นทะลักเหมือนกัน

แบบนี้มันแปลว่าแฟนๆอนิเมเรื่องไอด้อลมาสเตอร์เป็นคนไม่ดีป่ะ

ก็ไม่เกี่ยวใช่มะ กุเห็นแฟนๆไอดอลมาสเตอร์เป็นคนดี มีจริยธรรม ศีลธรรมกันตั้งเยอะแยะ

สรุปว่า ต่อให้กินทิ้งกินขว้าง แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าทิ้งเรี่ยราดไม่ลงถังขยะนะเออว์

■

ชาวเน็ทก็บอกกับเลิฟไลฟ์แฟนบอยคนนี้ว่า ภาพที่มึงหยิบยกมาเปรียบเทียบ

อันนั้นมันคือคนที่ดูไอด้อลมาสเตอร์ในโรงกันเยอะแยะ พอดูเสร็จก็เอากล่องป๊อบคอร์นที่กินหมด

มาทิ้งใส่ถังขยะ แต่ถังขยะมันเล็กเกินไปขยะก็เลยล้นออกมา เกี่ยวห่าอะไร

กับประเด็นกินทิ้งกินขว้างเพื่อเอาของแถมอย่างเดียวอย่างที่เรากำลังคุยๆกันอยู่วะเนี่ย

■

พฤติกรรมที่นายโกกิพูดถึงเนี่ย มันเป็นเรื่องที่พบบ่อยมากนะในกลุ่มโอตาคุ

คือซื้อมาปุ๊บ แม่งโยนน้ำอัดลม โยนป๊อบคอร์นลงถังเลย

เก็บแต่ของแถมอย่างเดียว ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้มันทำให้สังคมญี่ปุ่นเขารังเกียจพวกโอตาคุว่ะ

■

เลิฟไลฟ์แฟนบอยก็ถามกลับว่าแล้วมึงเอาอะไรมาตัดสินว่าภาพที่นายโกกิเอามาโพส

เป็นกรณีเดียวกับกลุ่มคนที่มึงบอกว่าสังคมญี่ปุ่นเขารังเกียจล่ะ หรือต่อให้มันทำแบบที่มึงว่าจริงๆ

แต่เงินก็เงินมัน ไม่ได้จี้ปล้นใครมาซื้อซักหน่อย แล้วจะไปยุ่งกับพฤติกรรมการจับจ่ายของเขาทำไม

ส่วนไอ้พวกที่บอกว่าสิ้นเปลืองทรัพยากร ทำให้ของกินเสียของอ่ะ สมมุติว่าไอ้พวกนี้มันไม่ซื้อป๊อบคอร์นกิน

แปลว่าจะมีต้นข้าวโพดงอกที่แอฟริกา ให้เด็กๆผู้หิวโหยได้แทะฝักข้าวโพดกันรึไงวะ

■

พฤติกรรมกินทิ้งกินขว้างเนี่ย มันไม่ได้เกิดขึ้นกับเลิฟไลฟ์แค่เรื่องเดียว แต่มันเกิดขึ้นกับแทบทุกเรื่อง

ขอให้พวกมึงแยกแยะประเด็นกันหน่อย อย่าอคติกับแฟนๆเลิฟไลฟ์ให้มันมากเกินไป

แต่ถ้าใครไม่อยากให้คนที่กินป๊อบคอร์นเหลือ เอาป๊อบคอร์นทิ้งลงถังขยะ

แน่จริงพวกมึงก็ลงขันกันสร้างตู้บริจาคเศษป๊อบคอร์นเพื่อน้องๆผู้หิวโหยที่หน้าโรงหนังทั่วประเทศซะเลยเซ่

■

■

ชาวเน็ทก็เตือนเลิฟไลฟ์แฟนบอยว่าพวกมึงอ่านจับประเด็นไม่ถูกจุดรึเปล่า

โกกิเขาไม่ได้ด่าแฟนเลิฟไลฟ์ ไม่ได้ด่าคนที่กินเหลือ แต่เขาด่าพวกกินทิ้งกินขว้าง

ไม่คิดจะแดกป๊อบคอร์นแต่แรก ซืีอปุ๊บทิ้งปั๊บเพราะมันต้องการแต่ของแถมต่างหาก

■

ที่โกกิเขาหยิบประเด็นนี้มาพูดถึง เพราะเขาเอาของกินไปแจกให้เด็กในชุมชนแออัดบ่อยๆไง

เขาเลยนำเสนอในประเด็นที่ว่า มันสิ้นเปลืองของกินเว้ย ไม่ได้เกี่ยวกับอนิเมเรื่องที่ฉายว่ามันเป็นเรื่องอะไรเล้ยยย

■

พวกกรูก็ไม่ได้ถึงขั้นโลกสวยขนาดว่า ซื้อมาแล้วต้องกินให้หมดทุกชิ้นหรอกนะ อันนั้นก็เว่อร์เกิน

ถ้ามึงแดกไม่หมดจริงๆ ก็ทิ้งได้ พวกกรูเข้าใจ มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ประเด็นนี้คือคนที่ซื้อแล้วไม่กินเลย ทิ้งอย่างเดียว

ไอ้พฤติกรรมซื้อขนมแล้วทิ้ง หวังแต่ของแถมเนี่ย มันควรจะมีแต่ในเด็กๆที่ยังไม่มีจิตสำนึกสาธารณะเพียงพอเท่านั้น

ถ้ามึงโตๆเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ความคิดของมึงควรจะซับซ้อนกว่าเด็ก และตระหนักรู้ว่า

การที่มึงกินทิ้งกินขว้างแบบนี้มันส่งผลกระทบต่อสังคมยังไงบ้าง

■

อย่าเอาแต่บอกว่าเงินมัน มันจะทำอะไรก็ได้ จะซื้อของกินมากินทิ้งกินขว้างยังไงก็ได้

ถึงจะเงินมึง แต่เวลามึงซื้อแล้วไม่กินให้หมด เท่ากับว่ามึงได้สร้างขยะชิ้นเบ้อเริ่มให้กับสังคม

แล้วตอนกำจัดขยะพวกนี้ มันใช้เงินใคร เงินมึง หรือเงินงบประมาณของประเทศชาติ

ที่ต้องเอาไปจ้างพนักงานเก็บขยะมาคอยทำความสะอาดเศษซากที่เกิดจากการกินทิ้งกินขว้างเหล่านี้

■

มีเลิฟไลฟ์แฟนบอยคนนึงประกาศตัวว่า ถึงกรูจะเป็นติ่งเลิฟไลฟ์ แต่กรูไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

กับการกินทิ้งกินขว้าง ซื้อป๊อบคอร์นแล้วทิ้งลงถังทันทีเพราะหวังจะได้แต่ของแถม

ต่อให้คนญี่ปุ่นเขาทำกัน แต่ถ้าเรารู้ว่านั่นไม่ใช่พฤติกรรมที่ดี เราก็ไม่ต้องไปแก้ตัวแทนมัน

และไม่ต้องไปลอกเลียนแบบพฤติกรรมของพวกมัน เพราะเราสามารถเป็นติ่งเลิฟไลฟ์

ที่ชอบอนิเมเรื่องนี้ ไปพร้อมๆกับสนใจเรื่องอื่น เช่น ขยะล้นโลก หรือปัญหาขาดแคลนอาหารได้

ไม่จำเป็นว่าถ้าเราชอบเลิฟไลฟ์แล้วเราต้องหลับหูหลับตาไล่ซื้อของสะสมอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนเสียสติ

จนไม่ทันได้ไตร่ตรองว่าความบ้างคลั่งนั้นจะสร้างผลกระทบอะไรให้กับสังคมบ้าง

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร? สมัยนี้ยังมีการ์ดดาร์ก้อนบอลแถมในขนมอยู่รึเปล่าวะ

■

เดบิทภาพ http://pantip.com/…/32253920

พวกเธอว์จงตามไปเสพในเฟซนี้โดยพลัน!!

https://www.facebook.com/…/965971613455662?…

External Link

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าฟุตบอลชายทีมชาติไทย คว้าแชมป์ซีเกมครั้งที่ 15 ได้อย่างงดงาม

ระหว่างที่นักกีฬากำลังขึ้นแท่นเพื่อรับเหรียญรางวัล โดยมี พล.ต.อ.จารึก อารีราชการัณย์

เลขาธิการคณะโอลิมปิคแห่งประเทศไทยเป็นผู้มอวเหรียญให้ นักฟุตบอลคนนึงคือ

เจ้าตั้ม ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ก็ถูกเพื่อนร่วมทีม อาทิตย์ ดาวสว่าง แกล้งโดยการกระตุกกางเกงลงมา

■

External Link

สื่อก็เอาเหตุการณ์นี้ไปนำเสนอกันอย่างขำๆว่านักฟุตบอลหยอกกันระหว่างรับเหรียญรางวัล อะไรงี้

ทีนี้มันดราม่าเมื่อมีคนวิจารณ์เหตุการณ์นี้ว่า หลายๆคนอาจมองว่าเป็นเรื่องขำๆของเด็กๆ

ที่กำลังดีใจุสดๆเพราะเพิ่งคว้าแชมป์ซีเกมมาได้  แต่ถ้าจะหยอกกันแบบนี้

แนะนำให้ไปหยอกกันหลังรับรางวัลเสร็จแล้วจะดีกว่า ขนาดฝรั่งที่มันห่ามๆ

มันยังไม่ทำแบบนี้ตอนรับรางวัลเลย ถ้ามันจะวิ่งแก้ผ้าฉลองหรือเอาเบียร์ราดตัว มันก็ทำหลังรับรางวัลกันแล้วทั้งนั้น

ซีเกมหนนี้ ทีมชาติไทยแจ่มมาก เราเล่นดี มีสปิริตนักกีฬาที่ดี แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด อยากฝากให้เตือนเด็กๆเรื่องนี้ด้วยนะ

เพราะการเล่นแผลงๆแบบนี้ในงานที่มีผู้หลักผู้ใหญ่หรือบุคคลสำคัญชมอยู่ ดูจะไม่เหมาะซักเท่าไหร่

■

มีคนแย้ง จขกท ว่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่ชมงานนี้อยู่เขาคงไม่ถือสาหรอกน่า มีแต่พวกเจ้ายศเจ้าอย่างหัวโบราณเท่านั้นแหละ

ถามว่ามันผิดกาละเทศะมั้ย กุว่าไม่ว่ะ เพราะการรับเหรียญรางวัลมันไม่ใช่พิธีทางราชการ ไม่ต้องใส่เครื่องแบบรับซักหน่อย

■

จขกท ตอบว่าถึงผู้หลักผู้ใหญ่อาจจะไม่มีใครถือสา แต่เรื่องของกาละเทศะก็เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีอยู่นะ

■

จากนั้นความเห็นในพันทิปก็แบ่งเป็นสองฝั่งเถียงกันว่ากรณีนี้มันผิดกาละเทศะมั้ย บ้างก็บอกว่าผิดว่ะ

การรับเหรียญรางวัลเนี่ย มึงรับแล้วต้องร้องเพลงชาติไทยและร่วมเคารพธงชาติไทยด้วยใช่มะ

หลังจากนั้นก็จะมีผู้ทรงเกียรติ เช่น ผู้หลักผู้ใหญ่ คนสำคัญในวงการกีฬามามอบรางวัลให้

นักกีฬาก็ควรให้เกียรติผู้มามอบรางวัลด้วย

■

แต่การกระตุกกางเกงให้หลุดต่อหน้าผู้ใหญ่เนี่ย เป็นอะไรที่ผิดกาละเทศะและไร้มารยาทมากๆ

เมิงเอาความสนุกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไปแกล้งเพื่อนร่วมทีมระหว่างรับรางวัลสำคัญได้ไง

■

ฝั่งที่ไม่คิดว่าผิดกาละเทศะก็ประชดว่า ถ้ามึงคิดว่ามันผิดมากมายขนาดนั้น มึงแจ้งตำรวจจับเขาเลยดิวะ

โถ เรื่องแค่นี้ทำเป็นกลัวไปได้ อย่ามาอ้างเลยว่าฝรั่งเขาไม่ทำกัน มึงจะกลัวถูกฝรั่งด่าไปถึงไหนวะ

■■

นักกีฬาของเรามันยังเด็กอยู่ มันคงไม่คิดอะไรมากหรอกน่า อีกอย่างต่อให้ถลกกางเกงลงมา

แต่มันใส่ซับในกันทั้งนั้น ไม่มีทางโชว์กุเจี๊ยวหรือโชว์กางเกงในให้ชาวโลกได้เห็นหรอกน๊ะ

■

บ้างก็ด่า จขกท ว่ามึงจะบ้ารึเปล่าวะ เรื่องแค่นี้มึงจะเอามาเป็นประเด็นทำหอกอะไร

ที่ทีมฟุตบอลเขาได้รางวัล ถามจริง มึงมีส่วนร่วมใดๆในความสำเร็จของเขารึเปล่าวะถึงกล้าวิจารณ์เขาอย่างนี้

■

เด็กเขามาเล่นไร้สาระกันนอกเกมก็ดีแล้วไง หรือมึงอยากจะให้เขาไปเล่นไร้สาระกันในเกมฟุตบอลวะ

■

คนที่เห็นด้วยกับ จขกท บอกว่าต่อให้มึงเครียดกับเกรมการแข่งขันยังไง มึงก็ต้องให้เกียรติพิธีการบ้าง

อย่าอ้างว่าเพราะเครียดเลยกระตุกกางเกงเพื่อนลง ถ้าการกระทำแบบนี้มันดีจริง แก้เครียดกับเกมได้จริง

ทำไมมึงไม่ให้นักฟุตบอลทุกคนแก้ผ้าวิ่งโชว์ควยโตงเตงลงสยามซะเลยว่ะ

กูขอล่ะ วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ เพราะมันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชน

มีเด็กไทยติดตามชื่นชมผลงานพวกมึงอยู่เยอะ ถ้าเขาคิดว่าการทำตัวไร้กาละเทศะเป็นเรื่องดีขึ้นมาจะทำไง

■

แฟนบอลคนนึงบ่นว่า กรูเนี่ย ตามเชียร์ทีมชาติไทยมาตลอด ชนะก็ยินดี

แพ้กลับมากรูก็ไม่ท้อตามเชียร์ต่อ แต่พอเห็นนักฟุตบอลเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลาแบบนี้แล้วกุหมดศรัทธาเลยว่ะ

■

ฝั่งที่เข้าข้างนักฟุตบอลก็บ่นว่า แหม่ เขาแค่กระตุกกางเกงแค่นี้มึงถึงกับหมดศรัทธา

ด่าเขาว่าไร้มารยาทมั่งล่ะ ไม่ให้เกียรติคนอื่นมั่งล่ะ พวกมึงจะเซ้นซิทีฟกันไปถึงไหนวะไอ้พวกหัวโบราณเอ้ย

■

■

นักฟุตบอลเขาสู้แทบตายเพื่อคว้าแชมป์กลับมาให้ประเทศชาติ

แต่มึงกลับเสื่อมศรัทธากับเขาเพียงเพราะดึงกางเกงแค่นี้เนี่ยน๊ะ โลกสวยฉิบหายเลยว่ะ

■

■

ถ้าการดึงกางเกงมันเป็นเรื่องเลวร้ายในสายตาพวกมึงขนาดนั้น กรูแนะนำนะ

มึงเลิกดูบอลไทยไปเลย ไม่ต้องมาเชียร์ให้เขาได้แชมป์กันหรอกว่ะ

■

กรูเห็นเขาหยอกดึงกางเกงกันแล้วไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย หรือบางทีอาจเป็นเพราะกรูเป็นคนยุคใหม่

ที่ไม่ได้มองว่าการใช้ชีวิตในสังคมไทยมันต้องดัดจริตชีวิตต้องป๊อบ เหมือนหลายๆคนในกระทู้นี้วะ

■

แน่ใจเหรอวะว่าที่เมืองนอกเมืองนาเขาไม่มีใครทำเรื่องแบบนี้ กรูเห็นฝรั่งจัดหนักจัดเต็มกว่านี้

ในพิธีรับปริญญาก็มีตั้งเยอะ แต่ไม่เห็นจะมีใครด่าฝรั่งพวกนั้นเลยเพราะมันเป็นเวลาเฉลิมฉลอง

ให้กับความทุ่มเทแรมปีที่ผลิดอกออกผลในวันนั้น กรูเห็นมีแต่คนไทยนั่นแหละ ที่อ่อนไหวเกินเหตุ

แถมดัดจริตกราบไหว้บูชาผู้หลักผู้ใหญ่และพิธีรีตองจนเกินงาม มึงคิดกันให้ดีๆนะ

ว่าระหว่างนักกีฬาที่ทุ่มเทมาแรมปี กับใครก็ไม่รู้ที่เอาเหรียญรางวัลมาให้ อย่างไหนที่มึงควรให้ความสำคัญมากกว่ากัน

■

■

อมยิ้มคนนึงบ่นว่าการที่นักฟุตบอลหยอกกันด้วยความคะนองอันนั้นกรูเข้าใจ ถ้าโค้ชเตือนกันซักนิด

ว่าวันหลังอย่าทำอีกนะ ก็โอเคแล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่ติ่งของนักฟุตบอลหลายๆคนในกระทู้นี้

ที่เถียงเข้าข้างนักฟุตบอลว่าเขาไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย นั่นแหละ

พวกมึงนี่มันแย่ยิ่งกว่านักฟุตบอลซะอีก เพราะพวกมึงมีเวลาคิด มีเวลาไตร่ตรอง

ก่อนจะโพสความเห็นลงเว็บพันทิป แต่พวกมึงก็ยังแสดงความเห็นกันราวกับว่า

ไม่รู้จักมารยาท ไม่รู้ว่ากาละเทศะคืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในสังคมอื่นๆนอกเหนือจากสังคมไทย

เขาก็มีมารยาทที่จะไม่ทำเรื่องแบบนี้ระหว่างพิธีการกันทั้งนั้น ขนาดนักฟุตบอลคนนึง

เคยใส่รองเท้าแตะมารายงานตัวติดทีมชาติ ยังโดนซิโก้เขาตำหนิเลย นับประสาอะไรกับเรื่องนี้วะ

มึงจะชื่นชมยินดียกย่องนักฟุตบอลที่เขาคว้ารางวัลให้ประเทศชาติก็ได้ แต่มึงต้องแยกแยะผิดถูกด้วย

ไม่ใช่ว่าเขาทำดี ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเรา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ถือว่าถูกหมด ห้ามวิจารณ์ ห้ามแตะต้อง

ไม่ไหวเลยว่ะ คนไทยสมัยนี้แม่งคุณภาพต่ำฉิบหายจนแยกแยะระหว่างถูกใจกับถูกต้องไม่ออกแล้ว

■

ฝั่งที่เข้าข้างนักฟุตบอลก็ถามกลับว่ามึงหลุดมาจากยุครัตโกสินทร์ตอนต้นรึไงวะ

ทำไมความคิดมึงถึงได้หัวโบราณเต่าล้านปีขนาดนี้ นี่มันปี 2015 แล้วนะมึง

■

แล้วพิธีการที่นักฟุตบอลเข้าร่วม ณ เวลานั้น มันคือการมอบเหรียญรางวัลนะเว้ย

ไม่ใช่งานรับพระราชทานปริญญาบัตร มึงจะเคร่งกันไปถึงไหนวะ ถึงพวกกรูจะคุณภาพต่ำ

แต่อย่างน้อยพวกกรูก็ยังมีคุณภาพสูงกว่าพวกหัวโบราณเต่าล้านปีอย่างพวกมึงหลายเท่าตัวว่ะ

■

ฝั่งที่ตำหนินักฟุตบอลก็แย้งว่าเรื่องกาละเทศะมันมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยนั่นแหละ

ไม่ได้แปลว่ายุคโบราณมีกาละเทศะ แล้วยุคปัจจุบันไม่จำเป็นต้องมีมันซักหน่อย

คือพวกมึงจะขำที่นักฟุตบอลมันหยอกกันก็เชิญเถอะ แต่ถามหน่อยว่าจังหวะนั้น

ที่เขามอบเหรียญรางวัลให้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วภูมิภาค มันควรแล้วเรอะที่จะมาหยอกกันตอนนั้น

■

อมยิ้มคนนึงบอกว่าถ้ามันจะมีปัญหา ปัญหานั้นก็ไม่ได้มาจากพฤติกรรมของนักฟุตบอลหรอกว่ะ

แต่ปัญหาเกิดขึ้นเพราะพวกมึงคิดกันไปเองว่ามันเป็นปัญหานั่นแหละ ไอ้จังหวะนั้นมันเป็นช่วงที่ทุกคนกำลังดีใจ

กำลังฉลองให้กับความสำเร็จของเขา จะทำอะไรก็ทำให้เต็มที่แม่งไปเล้ยยย

มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมานอบน้อมเคารพบูชาคนให้เหรียญรางวัลซักหน่อย

เรื่องแค่นี้มึงก็ยังคิดไม่ได้ว่าพิธีการมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย มีแต่วัฒนธรรมแบบไทยๆเท่านั้นแหละ

ที่สนใจกับพิธีการมากกว่าวัตถุประสงค์ของงาน คนที่มามอบเหรียญรางวัลให้มันคือการแสดงความยินดี

และให้เกียรติกับผู้ได้รับเหรียญ คนที่มามอบเหรียญให้น่ะ ความสำคัญมันน้อยยิ่งกว่านักกีฬาที่ได้เหรียญทองแดงซะอีกว่ะ

■

จขกท ก็บ่นว่าพวกมึงอ่านความเห็นกรูให้ดีๆก่อนสิวะ กรูก็ยินดีที่นักฟุตบอลทีมชาติคว้าแชมป์มาได้เหมือนกัน

แต่เรื่องแบบนี้มันต้องเตือนกันบ้าง โดยเฉพาะนักฟุตบอลรุน่ใหม่ๆ

ถ้าเราจะพัฒนาให้ดี มันต้องดีไปพร้อมๆกันทุกด้านสิวะ

■

คนที่ตินักฟุตบอลส่วนมาก เขาก็ติเพื่อก่อ ติเพราะหวังดีกับตัวนักฟุตบอลเองทั้งนั้น

ไม่มีใครเขาเกลียดนักฟุตบอลที่คว้าชัยชนะมาอย่างภาคภูมิใจหรอกนะ

แต่ประเด็นไหนที่ควรว่ากล่าวตักเตือน ในฐานะคนไทยด้วยกันก็สมควรเตือนไม่ใช่เหรอ

■

อย่าให้วัฒนธรรมติ่งที่ศิลปิน/นักกีฬาในดวงใจทำห่าอะไรก็ถูกไปหมด ลามมาถึงวงการกีฬาเลย

เห็นคนที่ตัวเองปลาบปลื้มทำอะไรผิดก็ตักเตือนเขามั่งเหอะ อย่าปกป้องเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยน่า

■

นอกจากในพันทิปแล้ว ในเพจอื่นๆที่นำเสนอข่าวนี้ก็เถียงกันรัวๆ แต่เนื้อหาใกล้เคียงกัน

คือฝั่งนึงก็ชูประเด็นว่ามันผิดกาละเทศะ ไร้มารยาท ควรปรับปรุง อีกฝั่งก็จะบอกว่า

ไอ้พวกโลกสวยเอ้ย นิดๆหน่อยๆจะเป็นไรไป เขาอุตส่าห์คว้าแชมป์มาทั้งที พวกมึงมีปัญญาทำได้อย่างเขารึเปล่าว๊ะ

แล้วทั้งสองฝ่ายก็เถียงกันรัวๆ งานนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับซิโก้แล้วล่ะครับว่าจะตักเตือนนักฟุตบอลหรือไม่

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร มารยาท กาละเทศะเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึ่เต่าล้านปีจริงๆหรือ

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้นี้โดยพลัน

http://pantip.com/…/33796393

https://www.facebook.com/…/1049031425142377?…

https://www.facebook.com/…/10153451690672450?…

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เว็บพันทิป มีคนตั้งกระทู้วิจารณ์นโยบายใหม่เอี่ยมอ่องของ ม.นเรศวร อย่างถึงพริกถึงขิง

■

รายละเอียดก็คือมหาลัยนี้เขาอยากให้เป็นมหาลัยสีเขียว คือลดการใช้มอไซด์ ให้นักศึกษามาปั่นจักรยานหรือเดินกันเยอะๆ ลดโลกร้อน

■

จขกท ก็บ่นว่าเมิงจะบ้าไปแล้วเหรอ ที่นี่พิษณุโลกนะมึง ตอนกลางวันแม่งร้อนฉิบหาย อุณหภูมิแตะ 40 องศาสบายๆ

ถ้าต้องให้ปั่นจักรยานจนเหงื่อไหลไคลย้อยหอบแดดแฮ่กๆ เมิงคิดว่านักศึกษาจะได้เรียนกันอย่างมีความสุขเรอะ

แล้วจักรยานที่มหาลัยเตรียมไว้ให้เด็กยืมก็มีแค่ห้าร้อยคัน แต่เรามีนักศึกษาเกือบสองหมื่นคนเชียวนะเว้ยยยยยยยย

■

■

ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ ที่เหลือไปอ่านในกระทู้กันเอาเองปรากฏว่าพออ่านกระทู้จบ 

ชาวพันทิปส่วนมากเห็นด้วยกับนโยบายมหาลัยสีเขียวนี้  แถมยังชมเปาะว่าผู้บริหารวิสัยทัศน์ยาวไกลมาก

ถ้านักศึกษาคนไหน ไม่มีปัญญาปฎิบัติตามนโยบายนี้ก็พักการเรียนแม่งไปเล้ยยยยยยย (มึงจะโหดไปไหน)

■

จากนั้นชาวพันทิปก็ด่า จขกท กันขรมเลยว่ะครับ บ้างก็บอกว่า เด็กไทยสมัยนี้แม่งรักสบายฉิบหาย

■

■

พวกมึงจะบอบบางเป็นขนหมอยต้องแรงลมกันเกินไปหน่อยมั้ย สมัยกรูเรียนมหาลัย

เปลี่ยนคาบทีพวกกรูเดินข้ามฟากมหาลัยทียังไม่เห็นจะเป็นไรเล้ย พวกมึงหัดลำบากกันมั่งเหอะ ชีวิตจะได้มีสีสันมั่ง

■

เด็กสมัยนี้แม่งอ่อนแอฉิบหาย หัดออกกำลังกายกันบ้างสิวะเลือดจะได้สูบฉีด

สมัยกรูเรียนเนี่ยกรูขี่จักรยานหรือเดินเรียนในมหาลัยตลอด ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย

รู้มั้ยว่าการที่พวกมึงออกมาดิ้นไม่เพราะนโยบายนี้ มันแสดงว่าความคิดของพวกมึงแม่งเด็กน้อยโคตรๆเลยว่ะ

■

เด็ก มน ก็สวนกลับว่า สมัยมึงจะขี่เทียมเกวียนหรือเดินเรียนในมหาลัย แปลว่าในยุคสมัยของพวกกรู

ต้องปฎิบัติตามอย่างที่พวกมึงเคยขี่เทียมเกวียนกันมาด้วยเหรอวะ โลกมันเปลี่ยนไปแล้วนะเว้ย

■

■■

อมยิ้มคนนึงบอกว่าสมัยกรูเรียนรามเมื่อ 23 ปีก่อน แถวนั้นรถแม่งติดเอามากๆ จนพวกกรูต้องเดินเป็นกิโลไปเรียนที่มหาลัย

แต่พวกกรูก็ยังจบมาได้ คิดซะว่าเป็นการฝึกความอดทนก็แล้วกันไอ้หนูทั้งหลาย หัดลำบากกันไว้มั่ง

จบออกมาทำงานเมื่อไหร่ ชีวิตในโลกภายนอกมันไม่สะดวกสบายเหมือนในรั้วมหาลัยหรอกนะเว้ย

■

มีคนถามว่า 23 ปีก่อน เมืองไทยร้อนตับแล่บขนาดนี้เหรอวะ

■

อมยิ้มคนเดิมตอบว่า เมืองไทยแม่งก็ร้อนจนลิ้นห้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่หว่า สมัยนี้ร้อน 40’c สมัยก่อนก็ร้อนพอกัน

มึงอย่าเอาภูมิอากาศมาใช้เป็นข้ออ้างเลยน่า ไม่งั้นคนไทยคนไหนๆเขาก็ใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างได้หมดนั่นแหละ

■

ฝั่งที่เข้าข้างนักศึกษา มน ก็แย้งว่ามึงเปรียบเทียบงี้ไม่ถูกต้อง เพราะรามกับ ม.นเรศวรมันแตกต่างกันมาก

อาคารเรียนภายในมหาลัยของรามคำแหงมันไม่ห่างกันมาก ในขณะที่ ม.นเรศวร ระยะทางระหว่างตึกแม่งไกลฉิบหายยยยยยย

ถ้ามึงบอกว่าการเดินหรือปั่นจักรยานภายใน มน เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ มึงช่วยมาสาธิตให้กรูดูเป็นบุญตาซักทีเห๊อะ

■

■

■

ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับ จขกท ก็ด่า จขกท กับคนที่สนับสนุนเจ้าตัว ว่ามึงนี่มันเหยียบขี้ไข่ไม่ฝ่อฉิบหาย

กะอีแค่แดดแค่นี้ ถ้ามึงทนไม่ได้ มึงจะจบออกมาทำงานได้ยังไงกัน รุ่นพวกกรูนี่

แบกกระเป๋าใส่หนังสือเรียน เดินกลางแดดกันจนลิ้นห้อยก็ทำมาแล้ว เลิกทำตัวสำออยเป็นลูกคุณหนูซักทีเถอะน่า

■

■

การที่มหาลัยเขาห้ามไม่ให้เอารถหรือมอไซด์เข้ามหาลัยเป็นเรื่องปรกติว่ะ

มหาลัยที่กุเคยเรียนเขาก็มีนโยบายแนวๆนี้เหมือนกัน ให้เด็กเดินในมหาลัยลูกเดียว

ถึงเด็กจะบ่นโอครวญกันบ้าง แต่ถือซะว่าให้เด็กมันได้ออกกำลังกาย ลดโลกร้อนละกันเนอะ

■

ฝั่งเด็ก มน ก็โวยลั่นว่ามหาลัยเมิงมันกว้างเท่าไหร่กันฟ๊ะ แต่ มน เนี่ย เฉพาะพื้นที่มหาลัยก็พันกว่าไร่เข้าไปแล้ว

ระยะทางระหว่างแต่ละตึกก็ว่างเป็นกิโลเชียวนะ จะให้เดินไปเดินมาใน มน

ท่ามกลางแดดที่ร้อนจนขนหมอยกูไหม้เนี่ยนะ กูไม่เอาด้วยหรอก

ไอ้คนที่บอกให้นักศึกษาอดทน ให้นักศึกษาได้ออกกำลังกาย พวกนี้แม่งไม่เคยมาอยู่ที่ มน เลยซักคน

■

■

ถ้านโยบายนี้มันอยากจะลดมลภาวะ ลดโลกร้อนจริงๆ ทำไมถึงออกนโยบายครอบคลุมเฉพาะมอไซด์ล่ะ

รถยนต์ทำไมมึงไม่พูดถึง ถ้ามึงให้เด็กเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ในขณะที่ครูบาอาจารย์ขับรถกันปร๋อ

มันจะช่วยลดมลภาวะได้ยังไงว๊ะ หรือจะให้เด็กมันขึ้นรถร่วม รถร่วมที่ให้บริการในมหาลัยก็มีนับคันได้

ในขณะที่นักศึกษามีตั้งหลายพันคน แล้วมันจะให้บริการนักศึกษาเพียงพอได้ยังไง๊

■

อมยิ้มคนนึงเสริมว่า ที่ จขกท พูดมามันเป็นความจริงทุกประการ ในฐานะที่ชั้นเป็นนักศึกษา มน

ขอสาบานด้วยเกียรติของเนตรนารีว่า มหาลัยนี้แม่งร้อนฉิบหาย คนที่ไม่เคยเรียนที่นี่ไม่เข้าใจหรอกว่ามันร้อนยังไง

ไอ้นโยบายมหาลัยสีเขียวนี่ จริงๆมันก็เข้าท่าอยู่ แต่ก่อนจะผลักดันนโยบายออกมาใช้งาน

ผู้บริหารเคยถามความเห็นจากนักศึกษา และได้จัดเตรียมความพร้อมในมหาลัยเพื่อรองรับนโยบายนี้บ้างมั้ย

■

หรือถ้าจะผลักดันนโยบายนี้ให้ได้จริงๆ มันต้องบังคับใช้กับทุกภาคส่วนในมหาลัยอย่างเสมอภาคกันดิวะ

ตั้งแต่นักศึกษายันอาจารย์นู่นเลย มาปั่นจักรยานด้วยกัน มาเดินวิ่งในมหาลัยด้วยกัน

ไม่ใช่ให้นักศึกษาปั่นจักรยานจนเหงื่อไหลไคลย้อย ส่วนอาจารย์นั่งรถตากแอร์สบายใจเฉิบ

แถมรถยนต์พวกนั้นแม่งปล่อยควันพิษกับแดกน้ำมันหนักกว่ามอไซด์ตั้งเยอะ

มึงเลือกปฎิบัติแบบนี้ แล้วใครจะเห็นด้วยกับเหตุผลของนโยบายที่ว่าลดโลกร้อนว๊ะ

■

อมยิ้มคนนึงพูดถึง จขกท กับนักศึกษาที่เห็นด้วยว่า ไม่ว่าพวกมึงจะยกเหตุผลสารพัดมาอ้างยังไงก็ตาม

แต่กรูสัมผัสได้ถึงความเกียจคร้าน รักสบาย กลัวความลำบาก ที่มันโชยออกมาจากคำพูดของพวกมึงอย่างชัดเจนว่ะ

การที่พวกมึงโจมตีว่าทำไมอาจารย์ ผู้บริหารถึงขี่รถยนต์ได้ แต่พวกมึงขี่มอไซด์ไม่ได้

มันก็เป็นแค่ข้ออ้างไว้กลบเกลื่อนความรักสบายของพวกมึงเท่านั้นเอง

■

ส่วนไอ้ จขกท นี่ การที่มึงเลือกจะแก้ไขปัญหาด้วยการตั้งกระทู้แฉนี่เป็นอะไรที่น่ากังวลมากนะ

ถ้ามึงเรียนจบไป ทำงานในองค์กรใดก็ตาม มึงย่อมต้องเจอความขัดแย้งภายในองค์กรบ้างไม่มากก็น้อย

แต่เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น มึงก็ควรจะแก้ไขปัญหาเป็นการภายใน

มีวิธีการอีกมากมายที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ เช่นพูดคุย เจรจา หาทางออกร่วมกัน

ไม่ใช่มาตั้งกระทู้แฉเพื่อดึงคนนอกให้เข้ามามีส่วนร่วมกับความขัดแย้งของพวกมึง

คนอย่างมึงเนี่ย มันไร้วุฒิภาวะ และขาดคุณสมบัติที่จะเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างสิ้นเชิงว่ะ

■

■

ฝั่งเด็ก มน ก็ตอบว่า นักศึกษามหาลัยนี้ก็พยายามทำตามที่มึงพูดมาหมดแล้วไง

พอประกาศนโยบายโครมออกมา ผู้นำนิสิตก็จัดเวทีเสวนา จะเชิญระดับผู้บริหารมาพูดคุย

แต่สุดท้ายกลับส่งคนที่ไม่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบมาคุยแทน ถ้า จขกท จะทนไม่ไหว

จนต้องออกมาตั้งกระทู้แฉ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่ะ และการใช้มาตราการทางสังคม

หรือพูดง่ายๆว่าเอามาแฉให้สังคมกดดัน มันก็เป็นกลไกนึงในการที่ผู้น้อย

มักใช้เคลื่อนไหวเพื่อต่อรองกับผู้มีอำนาจอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ

■

■

ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของ จขกท แย้งว่าไม่ได้เว้ย มึงไม่เคยได้ยินคำว่า

ไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้ารึไงวะ ถ้ามีปัญหาภายใน มึงต้องแก้ไขกันภายในสิวะ

ไม่ต้องเอาเรื่องในมหาลัยมาโพนทะนาให้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้กันทั่ว

คนอย่างไอ้ จขกท เนี่ย ถ้ามึงจบมาแล้วจับผลัดจับพลูได้มาทำงานในบริษัทกรูเมื่อไหร่

ถ้ามันมีพฤติกรรมแบบเดียวกับที่มันตั้งกระทู้นี้อีก เป็นกรู กรูไล่แม่งออกทันทีเลยว่ะ

■

มีคนเห็นด้วยกับความเห็นนี้บอกว่าถูกต้องแล้ว คนที่มี EQ ดีๆมันต้องคิดแบบนี้สิวะ

มีปัญหาก็เคลียร์กันภายใน ไม่ใช่ไม่พอใจเรื่องอะไรก็ออกมาก่อม๊อปประท้วงกันเย้วๆ มันไม่ถูกต้อง

คนที่คิดจะเผาบ้านตัวเองเพราะเรื่องแค่นี้ ใครจะอยากรับเข้าทำงานว่ะ

■

คนที่เห็นด้วยกับ จขกท ก็ตอบแทน จขกท ว่า ถ้ากรูทำงานแล้วต้องเจอหัวหน้างี่เง่าแบบนี้ มึงไม่ต้องไล่กรูก็พร้อมลาออกเองว่ะ

■

มึงเปรียบเทียบแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เพราะสถานะของพนักงานบริษัทคือลูกจ้าง

แต่สถานะของ จขกท คือนักศึกษา  มันเป็นลูกค้าที่จ่ายเงินให้มหาลัยเพื่อใช้บริการด้านการศึกษา

มันไม่ได้เป็นคนรับเงินจากมหาลัยเพื่อจ้างให้มันมาเรียนซักหน่อย ดังนั้นถ้ามีนโยบายไหน

ที่ทำให้นักศึกษามันรู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบ มันจะออกมาประท้วงก็ถือเป็นสิทธิที่ทำได้

■

ความเห็นของมึงนี่มันดูเหมือนจะมีวุฒิภาวะนะ แต่ถ้าอ่านให้ดีๆจะรู้ว่ากลวงฉิบหาย

แนวคิดที่ว่าไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้า มันเป็นวิธีคิดของผู้บริหารกากส์ๆ

ที่มองว่าลูกน้องเป็นแค่ขี้ข้าเท่านั้น ไอ้ผู้บริหารพวกนี้น่ะ เวลาลูกน้องร้องเรียนภายใน

มันไม่สนใจฟังความเห็นลูกน้องหรอก มีแต่ต้องรอให้โดนแฉต่อสาธารณะชนจนไฟลนก้นก่อน

มันถึงจะยอมลงมาเจรจาแก้ไขปัญหากับลูกน้อง มึงอย่าคิดว่านายจ้าง ผู้บริหารห่วยๆไม่มีอยู่จริงนะ

ถ้าไม่มีผู้บริหารห่วยๆแล้วจะมีกรมแรงงานไว้ทำหอกอะไรฟะ

■

หลังจากนั้นชาวพันทิปกับนักศึกษา มน ก็เถียงกันรัวๆว่าควรแล้วหรือไม่ที่จะให้นักศึกษาเดิน วิ่ง ปั่นจักรยานในเขตมหาลัยที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ถึง 1300 ไร่

จะว่าไปสมัยจ่าเรียนมหาลัย เวลาย้ายตึกเรียนแม่งก็เดินไกลเหมือนกันนะ ดีที่ยังมีร่มเงา มีรถประจำทางผ่านไปมาบ้าง

แต่ถ้าให้เดินกลางแดดเปรี้ยงๆ ในประเทศที่ทอดไข่ดาวสุกได้ด้วยความร้อนจากแสดงแดด กรูขอบายดีกว่าว่ะ ยังไม่อยากเสียสุขภาพหรือเป็นมะเร็งผิวหนัง

■

เดบิท http://www.manager.co.th/…/ViewNews.aspx?…

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร ทั่นผู้บริหารเพื่อความเสมอภาคยุติธรรม ห้ามเอารถยนต์เข้ามหาลัยด้วยดีมั้ย

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้นี้โดยพลัน!!

http://pantip.com/…/33774059

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่ วันที่ 2 มิถุนาที่ผ่านมาในเมืองจูไห่ที่มีประชากร 1.5 ล้านคน

พ่อคนนึงพาลูกชายที่มีไข้ไปหาหมอที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินแห่งนึง ระหว่างรอตรวจอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน

คนพ่อเห็นพยาบาลคนนึงเดินผ่านมา ก็เลยเรียกให้ดูลูกของตัวเองบอกว่าลูกตูมีไข้สูงนะ

■

ให้หมอตรวจก่อนได้มั้ย พยาบาลก็เอามือแตะหน้าผากเด็ก พยาบาลบอกให้รอก่อนยังไม่ฉุกเฉินมาก

พ่อไม่พอใจ เห็นพยาบาลหันหลังจะเดินกลับเข้าไปทำงานก็เอาตีนถีบเข้าที่กลางหลังของพยาบาลดังโครม

■

แล้วถลาเข้าไปต่อยพยาบาลอีกหมัด หมอที่อยู่ในห้องฉุกเฉินก็ออกมาห้ามทัพก่อนจะปะทะคารมกันซักพัก

คนพ่อก็หอบลูกชายไปรักษาที่ รพ อื่น และในวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา

ตำรวจก็เข้าจับกุมคนพ่อในข้อหาทำร้ายร่างกายพยาบาล เสียค่าปรับ 500 หยวน (ประมาณ 2700 บาท)

เดบิท http://www.hizh.cn/…/160210.jhtml
http://en.rocketnews24.com/…/

แต่สื่อเอามานำเสนอว่า หมอนี่มันกระโดดถีบพยาบาลเพราะพาลูกมารอที่ รพ ตั้งนานแต่ไม่มีใครสนใจ

■

ประเด็นคือพอสื่อไทยเอามานำเสนอปุ๊บ มีแต่คนแสดงความเห็นว่า

สมควรโดนเตะโดนกระทืบแล้วโว้ย ทั้งหมอทั้งพยาบาลนั่นแหละ ถ้าเป็นกรูนะ

กรูไม่เตะอย่างเดียว แต่จะต่อยมันให้หมดทั้งหมอพยาบาล จะกระทืบแม่งให้ตายไปเลย

บางคนถึงกับบอกว่าบอกว่าเป็นกรูกรูจะเอาปืนยิงหมอแม่งซ้ำด้วยว่ะ

■

■■■

■

■

■

■

คนที่ไม่เห็นด้วยก็ห้ามปรามคนที่อยากกระทืบพยาบาลด้วยความคึกคะนองว่า

พวกมึงใจเย็นๆกันก่อน ถ้าพวกมึงเกลียดหมอเกลียดพยาบาลกันขนาดนั้น วันหลังเจ็บไข้ไม่สบาย

ไปเอายาต้มยาหม้อมารักษาตัวเองกันตามยถากรรมไปเลยนะ อย่าเสือกไปโรงพยาบาลเป็นอันขาดล่ะ

■

ไอ้พ่อชาวจีนนี่มันอะไรของมัน ถึงมันจะเป็นห่วงลูกตัวเองขนาดไหนก็เหอะ แต่มันไม่มีสิทธิไปทำร้ายใครนะเว้ย

■

พยาบาลคนนึงก็บ่นว่าสังคมไทยสมัยนี้เป็นอะไรไปหมดฟะ เอะอะก็ด่า เอะอะก็ขู่จะทำร้ายหมอพยาบาล

■

ชาวเน็ทบอกกับพยาบาลว่าเอ็งอย่าดิ้นครับ เรื่องนี้พวกกรูวิจารณ์ไปตามเนื้อผ้า

■

พยาบาลก็ถามว่าเนื้อผ้าที่เอ็งว่าน่ะมันหมายถึงอะไร เอ็งรู้เหรอว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆมันเป็นยังไง

และเรื่องราวที่สื่อไทยเอามานำเสนอมันตรงกับข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน เอ็งรู้หมดแล้วจริงๆเหรอ

■

ชาวเน็ทเถียงว่ามึงดูแค่ในคลิปก็น่าจะรู้แล้วว่าพ่อมันพาลูกมารอรักษาเป็นชั่วโมง แต่ไม่ได้ตรวจซักที

คนเป็นพ่อแม่ใครมันจะไปทนไหววะ ลองคิดมั่งดิว่าถ้าเป็นลูกตัวเองพวกมึงจะรู้สึกยังไง

ใครไม่รู้เรื่องก็หุบปากไป ชอบอกว่ากรูเนี่ยเข้า รพ บ่อย ทำไมกรูจะไม่รู้สันดานพยาบาล

ว่าส่วนมากมันไม่เต็มใจรักษาให้คนไข้อย่างพวกกรูกันทั้งนั้น

■

พยาบาลก็เบ้ปากแล้วด่าชาวเน็ทคนนี้ว่า แน่ใจนะว่ามึงเข้าโรงพยาบาลบ่อย

กระทั่งเรื่องที่โรงพยาบาลจัดลำดับการตรวจคนไข้ในห้องฉุกเฉินตามอาการของคนไข้มึงยังไม่รู้

ยังมีหน้ามาพูดว่าพยาบาลเขาไม่เต็มใจช่วยคนไข้อีกเหรอวะคะ ถ้าพยาบาลเขาไม่เต็มใจช่วยคน

เขาจะมาทำงานใน รพ รัฐ ที่ค่าตอบแทนน้อยนิด ให้คนอย่างพวกมึงด่าเช้าด่าเย็นเพื่ออะไร

■

อนึ่งการรักษาในห้องฉุกเฉินเนี่ย จะขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนของอาการคนไข้ครับ แบ่งเป็นสามอย่าง

1. ฉุกเฉินมาก (Emergent) คืออาการหนัก ต้องช่วยเหลือทันที ไม่งั้นจะเสียชีวิตหรือพิการได้ในไม่กี่นาที

ยกตัวอย่างเช่น คนที่หัวใจหยุดเต้น สำลัก มีวัตถุแปลกปลอมอุดตันหลอดลม เสียเลือดมาก หายใจไม่ได้ บลาๆ

■

2. ฉุกเฉิน (Urgent) คือควรได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตในไม่กี่ชั่วโมง

เช่น ได้รับอุบัติเหตุมีเลือดออกในช่องท้อง เจ็บแน่นหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ถูกงูกัด เส้นเลือดในสมองแตก บลาๆ

3. ไม่ฉุกเฉิน ก็มีตั้งแต่ไข้หวัด แผลถลอก กระดูกหักเล็กๆน้อยๆ อะไรเทือกนั้น คือไม่ใช่ภาวะที่อันตรายถึงแก่ชีวิตนั่นเอง

■

ปรกติถ้าคนไข้ไม่เยอะ ก็ตรวจกลุ่มที่ไม่ฉุกเฉินไปตามคิว แต่ถ้ามีกลุ่มฉุกเฉินหรือฉุกเฉินมาก

แพทย์ พยาบาลจะลัดคิวมาตรวจคนไข้กลุ่มนี้ก่อนเพราะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตหากไม่รีบรักษา

ส่วนคนไข้กลุ่มที่ไม่ฉุกเฉินก็ให้รอคิวกันไปก่อน รอจนตรวจ รักษากลุ่มฉุกเฉินเสร็จแล้วค่อยมาตรวจต่อ

มีคนถามชาวเน็ทที่ยุให้กระทืบพยาบาลว่า พวกมึงคิดว่าในห้องฉุกเฉินที่พยาบาลกำลังเดินเข้าไป เขามีเคสอะไรอยู่มั่งล่ะ

ถ้าสมมุติว่าข้างในมีคนไข้อาการหนัก ที่หมอกำลังปั๊มหัวใจ หรือคนไข้ที่ถูกแทงไส้ไหล แล้วตามพยาบาลมาช่วยดูแลเคส

มึงจะยอมให้หมอลัดคิว ไม่ต้องปั๊มหัวใจ ไม่ต้องช่วยคนที่ถูกแทงจนไส้ปลิ้น เพื่อมารักษาให้ลูกมึงที่มีไข้ก่อนได้ลงคอจริงๆเรอะ

■

แต่ชาวเน็ทส่วนมากก็ยังคงด่าทอต่อว่าหมอพยาบาลกันต่อไปว่าพวกมึงมันสมควรถูกเตะแล้วโว้ย

■

ชาวเน็ทชื่อ Saechia ก็แย้งว่าพยาบาลเขาทำไรผิดวะ พอพ่อชาวจีนมาเรียกให้ดูลูก

คงเป็นเพราะพ่อมันวิตกกังวล นึกว่าลูกจะซี้แหงแก๋อยู่รอมร่อแล้วต้องให้หมอตรวจให้ทันที

ส่วนพยาบาลเขาก็ดูให้แล้วไงว่าเป็นไข้ แต่ยังไม่ใช่อาการฉุกเฉินที่ต้องลัดคิวตรวจก่อน

สามารถนั่งรอคิวตรวจต่อไปได้ ถ้าเด็กชักเกร็งจะตายมิตายแหล่แล้วก็ว่าไปอย่าง

■

ชาวเน็ทฟังแล้วก็ไม่พอใจ Saechia  ว่ามึงต้องรอให้เด็กชักก่อนเหรอวะถึงจะยอมตรวจ

■

Saechia ตอบว่ากรูไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยซักคำ ประเด็นคือถึงเด็กจะมีไข้ แต่มันไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน

ที่สามารถลัดคิวชาวบ้านให้หมอตรวจก่อนได้ ถ้ายังไม่ฉุกเฉินก็ต้องรอคิวกันไป

ไม่งั้นถ้าพ่อแม่แต่ละคนคิดกันไปเองว่าลูกชั้นฉุกเฉิน ต้องให้หมอตรวจก่อนทุกคน มิวุ่นวายตายห่าเลยเหรอวะ

แต่ถ้าระหว่างที่นั่งรอหมอตรวจอยู่นั่น ถ้าเด็กอาการแย่ลง ก็เรียกให้พยาบาลมาดูอีกรอบได้อยู่แล้ว

ถ้าพยาบาลเขาเห็นว่าอาการฉุกเฉินจริง ต้องเจอหมอเดี๋ยวนั้นเลย เขาก็จะพาไปเจอหมอทันที ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก

■

แต่ชาวเน็ทไม่สนใจเหตุผลของ Saechia  แถมยังด่าซ้ำว่าเด็กคนนั้นมันไม่ใช่ลูกมึงก็พูดได้นี่หว่า

ไอ้คนที่ไม่เคยมีลูกอ่ะ มันไม่เข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อแม่หรอกโว้ย ว่าเวลาเห็นลูกตัวเองไม่สบายมันเจ็บปวดขนาดไหน

■

มึงคิดบ้างสิวะว่าคนที่อุ้มลูกในคลิปคือมึง มึงจะทำยังไง มึงจะยอมนั่งรอให้หมอตรวจเป็นชั่วโมงๆจริงๆเหรอวะ

■

บ้างก็ด่า Saechia  ว่ามึงจะรอให้เด็กชักก่อนได้ไงวะไอ้สัส ถ้าเด็กชักแล้วรักษาไม่ทันนี่ถึงตายนะเว้ย

ถ้ามึงพูดแบบนี้ก็ได้เสียสิวะ วันหลังลูกมึงไม่สบาย ก็รอให้ลูกมึงชักก่อนแล้วค่อยให้หมอรักษาก็แล้วกันนะ

■

■

■

แล้วที่มึงบอกว่าหมอพยาบาลเขาตรวจคัดกรองคนไข้แล้วก่อนจัดคิวให้เนี่ย มันตรวจห่าอะไรวะ

แค่ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดไข้ วัดความดันแค่นี้ มึงจะคัดกรองความเร่งด่วนของคนไข้ได้งั้ยยยย

■

มีคนอธิบายว่า ก็ไอ้ที่มึงว่ามานั่นแหละ คือการคัดกรองเบื้องต้น เพราะการวัดไข้ วัดความดัน วัดชีพจร

มันคือการตรวจสัญญาณชีพ ซึ่งไอ้สัญญาณชีพที่ว่านี่แหละที่ใช้แบ่งแยกว่าคนไหนเป็นคนไข้ฉุกเฉิน

คนไหนฉุกเฉินมาก และคนไหนที่ไม่ฉุกเฉิน สามารถรอได้ ในเมื่อทุกวันนี้หมอพยาบาลน้อยกว่าคนไข้มาก

ไม่มีปัญญาตรวจคนไข้ที่เฮโลมา รพ วันละมากๆได้พร้อมกัน เขาก็ต้องจัดคิวตามลำดับแบบนี้แหละ

ถ้ามึงไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แน่จริงมึงก็ออกเงินคนละแสนสองแสน จ้างหมอพยาบาลให้มาทำงานใน รพ รัฐมากขึ้นดิวะ

■

จากนั้นชาวเน็ทที่เห็นด้วยกับนาย  Saechia ก็ปลอบเจ้าตัวว่ามึงอย่าคิดมาก มึงพูดถูกแล้ว

ส่วนไอ้พวกที่ด่ามึงเนี่ย แม่งไม่รู้อะไร ถ้ากระทั่งการจัดลำดับของการตรวจคนไข้ในห้องฉุกเฉิน มึงยังไม่รู้

ก็อย่าเสือกใช้สมองน้อยๆของพวกมึงไปด่าใครเขาเลย ทุกวันนี้ไอ้พวกที่ไม่รู้ห่ารู้เหวอะไร

แต่ชอบมโนไปเองว่าต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ต้องรักษาให้กรูก่อน ไม่งั้นถือว่ามึงชั่ว เลวไร้จรรยาบรรณ

มันมีเยอะเกินพอแล้วว่ะ ถ้ามึงแสนรู้นักเวลาเจ็บป่วยก็รักษาตัวเองอยู่ที่บ้านไปเหอะ ไม่ต้องไปหาหมอหรอกนะไอ้สัส

■

ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็คนนึงบอกกับ Saechia  ว่าลูกกรูเคยมีไข้สูงปริ๊ด พาไปหาหมอที่ รพ รัฐ

มันให้แต่พาราเซตามอลแล้วให้กรูพาลูกกลับบ้าน พอพาไปเอกชน หมอพยาบาลที่นั่นถามกรูว่าปล่อยให้ลูกไข้สูงแบบนี้ได้ยังไง

มึงเข้าใจมั้ยว่าการมีไข้สูงมันโคตรทรมาน อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย นี่เด็กเล็กอายุไม่กี่เดือนเชียวนะมึง

ถ้ามึงบอกว่าเด็กมีไข้ ให้พ่อแม่นั่งรอตรวจตามคิวไป กรูว่ามึงมันไม่ใช่คนแล้วว่ะ เดรัจฉานยังใจประเสริฐยิ่งกว่ามึงอีก

■

ชาวเน็ทอีกคนแย้งว่าลูกกรูก็เคยมีไข้สูง แต่ให้ลูกกินยาลดไข้แล้วเช็ดตัวดูก่อน

ถ้าสองสามวันไข้ยังไม่ลงก็พาไปหาหมอ ปรกติก็ควรทำกันแบบนี้ว่ะ คือพ่อแม่ควรประเมินอาการลูก

และอาบน้ำ เช็ดตัว ให้กินยาลดไข้เบื้องต้นได้ ไม่ใช่เอะอะก็พาไปหาหมอทันที

ถ้าลูกมึงเพิ่งมีไข้ได้วันเดียว ไม่ว่าจะไปเจอหมอเทวดาที่ไหน ส่วนมากเขาก็ให้ยาลดไข้

แล้วให้กลับมาสังเกตอาการที่บ้านทุกคนนั่นแหละ แต่ที่สำคัญคือมึงต้องแยกแยะได้ว่า

ไข้ และมีอาการร่วมแบบไหน ที่แสดงว่าเราควรจะรีบพาลูกหาหมอโดยทันที

■

จากนั้นชาวเน็ทที่ไม่ได้รุมด่านาย Saechia  ก็สงสัยว่าที่หมอนี่พูดมามันผิดตรงไหนวะ

มันไม่ได้บอกว่าให้เด็กชักก่อนแล้วค่อยพาไปหาหมอ แต่มันบอกว่าถ้าเด็กชัก นั่นคืออาการเร่งด่วน

ที่ต้องเจอหมอทันที แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น ก็ยังสามารถนั่งรอคิวตรวจตามปรกติได้ไม่ใช่เรอะ

ไอ้คนที่เอาข่าวนี้มานำเสนอแม่งก็เกินไป พูดมาได้ว่าพยาบาลไม่สนใจชีวิตเด็ก

เขาก็ประเมินให้แล้วไงว่าเด็กยังสามารถรอคิวได้ ไม่ต้องลัดคิวตรวจทันที

■

ไอ้พวกที่เอาแต่ด่า Saechia ว่ามึงไม่มีลูก มึงไม่เข้าใจออกนี่มันเป็นเชี่ยอะไรกันวะ

มึงแหกขี้ตาดูปริมาณคนไข้ในคลิปด้วย มึงเห็นมั้ยว่าคนไข้คนอื่นๆที่รอคิวตรวจก็มีตั้งเยอะแยะ

เผลอๆบางคนอาจจะป่วยหนักกว่าเด็กคนนั้นด้วยซ้ำ แต่เขาก็ต้องรอตรวจกันตามคิว

ไอ้คนที่ถามว่าถ้าเป็นลูกมึง มึงจะทำยังไง งั้นกรูขอถามพวกมึงมั่งว่าถ้ามึงอุ้มลูกรอตรวจอยู่

แล้วจู่ๆมีคนหอบลูกมาขอลัดคิวตรวจก่อนมึง เพราะลูกกรูมีไข้ ลูกกรูด่วนกว่า เป็นมึง มึงจะทำยังไง

ยังจะมาโลกสวย ด่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับมึงว่าไม่เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่อีกมั้ยวะ

■

กรูล่ะเบื้อเบื่อไอ้ตรรกะ มึงไม่มีลูก มึงไม่เข้าใจหรอก หรือถ้าเป็นลูกมึง มึงจะรู้สึกยังไง ฉิบหายเลยว่ะค่ะ

มึงรู้มั้ยเนี่ยว่าเวลาลูกมีไข้อ่ะ ก่อนที่พ่อแม่จะตีโพยตีพายว่าลูกกรูจะตายแล้วๆๆๆๆ หมอลัดคิวตรวจให้ลูกกรูที

ก่อนที่มึงจะแตกตื่นขนาดนั้น มึงได้ทำอะไรให้ลูกบ้างแล้วหรือยัง ได้เช็ดตัวลดไข้ให้ลูกมั้ย ป้อนยาลดไข้ให้ลูกกินรึเปล่า

ระหว่างที่นั่งรอคิวตรวจ มึงพาลูกไปเช็ดตัวอาบน้ำ กินยาลดไข้ก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอให้พยาบาลบอกถึงค่อยทำหรอกนะ

■

ชาวเน็ทที่มีประสบการณ์เคยพาลูกเป็นไข้ไป รพ ก็เล่าว่า เป็นงั้นจริงๆว่ะ คือถ้าพาลูกไป รพ เพราะไข้สูง

ไม่ต้องไปนั่งรออย่างเดียว แต่พาลูกไปอาบน้ำเช็ดตัวก่อนแล้วค่อยพาไปเจอหมอได้เลย

■

ถ้าพ่อแม่เช็ดตัวให้ลูกดีๆ ให้กินยาลดไข้ทุกสี่ชั่วโมง ไข้ก็จะไม่สูงมาก และโอกาสที่เด็กจะชักจะไม่สูง

แต่ประเด็นคือทุกวันนี้ คนไทยส่วนมากมันดูแลตัวเองไม่เป็น ขนาดเรื่องไข้ยังไม่รู้เลยว่าควรทำยังไง

แถมยังไม่คิดจะหาความรู้เพิ่มเติมด้วยเพราะมันคิดว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกเรื่อง

แต่ไอ้เรื่องเอาชาวบ้านมาด่ามั่วๆซั่วๆในเน็ท หรือเอาเขามาประจานลับหลังเนี่ย ถนัดนัก

■

หลังจากนั้นชาวเน็ทที่เห็นใจพยาบาล กับชาวเน็ทที่ยุให้กระทืบพยาบาลให้ไส้เล็ดก็ด่ากันรัวๆ

ดราม่านี้ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลเด็กเมื่อเป็นไข้นะครับ เวลาเด็กมีไข้เนี่ย

ที่สำคัญคือต้องกินยาลดไข้ และ เช็ดตัวบ่อยๆ การเช็ดตัวนี่สำคัญมาก เพราะช่วยลดไข้ให้เด็กได้ดีพอๆกับการกินยาเลย

ถ้าไข้สูงมาก ให้ใช้น้ำอุ่น ถ้าไข้ไม่สูง ให้ใช้น้ำธรรมดาที่อุณหภูมิห้อง ไม่ควรใช้น้ำเย็นเช็ดตัว

เพราะการใช้น้ำเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว และไม่ระบายความร้อน เผลอๆจะทำให้เด็กไข้สูงกว่าเดิมและอาจชักได้

การเช็ดตัวก็ให้เอาผ้าชุบน้ำ แล้วถูจากปลายมือ ปลายเท้า เข้ามาที่ลำตัว อย่าลืมเช็ดตามซอกรักแร้ ซอกคอ ซอกขาหนีบ

เวลาถู ให้ถูให้แรงๆ ถูให้ผิวแดงเป็นลายเลยยิ่งดี เพราะจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวและระบายความร้อนลดไข้ได้ดีขึ้น

http://www.ns.mahidol.ac.th/…/sick.html

■

วิธีเช็ดตัวอย่างละเอียด ดูจากในคลิปนี้ได้เลยนะครัช

 External Link

จากนั้นก็ให้กินยาลดไข้ทุกหกชั่วโมง ยาที่แนะนำคือพาราเซตามอล ปลอดภัยสุด

ในบ้านเรามียาอีกตัวที่นิยมให้เด็กกินเพื่อลดไข้ คือ ไอบูโพรเฟน มีการใช้อย่างแพร่หลาย

แต่ไม่แนะนำให้ใช้นะครับ ใช้พาราปลอดภัยกว่า เพราะประเทศไทยเป็นแหล่งระบาดของไข้เลือดออก

เป็นกันทุกภูมิภาค เป็นกันทุกฤดูกาล ทุกเพศทุกวัย ปีนึงเป็นกันไม่รู้กี่หมื่นคน

กรณีที่มีไข้จากไข้เลือดออกแล้วไปกินยาตัวนี้เพื่อลดไข้ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

เช่นเลือดออกง่าย เลือดออกในทางเดินอาหารได้  สรุป พารา แล้วก็เช็ดตัว ดีกว่า

■

ปรกติแล้วถ้าไข้วันสองวัน พาไปหาหมอ ถ้าอาการยังไม่ชัด หมอก็จะให้ยาลดไข้

แนะนำเรื่องการดูแลตัวเอง แล้วให้กลับมาดูอาการ ถ้าพ้นสามวันไปยังมีไข้อยู่ หมอก็จะนัดมาตรวจเพิ่มเติม

เช่น ตรวจเลือด ดูว่าเป็นไข้เลือดออก หรือติดเชื้ออื่นๆหรือไม่ แต่ถ้าลูกไข้วันสองวันแรก

แต่มีอาการที่ผิดปรกติ เช่น เด็กดูซึมลง กินข้าวกินนมไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียนมาก เยี่ยวน้อยผิดปรกติ

อันนี้ไม่ต้องรอนะครับ พาไป รพ ได้เลย หรือถ้าไม่มั่นใจสามารถโทรหา 1669 ศูนย์นเรนทร

เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องอาการของลูกได้ ว่าสมควรพาไป รพ แล้วหรือยัง

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร ไอ้พวกที่บอกว่าอยากถีบพยาบาลน่ะ พวกมึงไม่รู้จักพยาบาลไทยซะแล้วววว

พวกเธอว์จงตามไปเสพในข่าวนี้โดยพลัน

http://news.boxza.com/…/30130

■

เรื่องมันมีอยู่ว่า การแข่งขันมอไซด์ เอเชีย โรดเรซซิ่ง ที่อินโดนีเซีย ได้เกิดอุบัติเหตุที่น่าสลดขึ้น

เมื่อนักแข่งทีมเจ้าถิ่น ขี่มอไซด์เข้าเส้นชัยที่หนึ่งไปแล้ว แต่คล้อยหลังเข้าเส้นชัยได้ไม่นาน

เขาก็ชลอความเร็วของมอไซด์เพื่อโบกมือทักทายคนดู แล้วกางขาข้างซ้ายออก

จังหวะนั้นเอง บอล จักรกฤษณ์ นักแข่งชาวไทยที่กำลังเร่งความเร็วเข้าเส้นชัยเพื่อทำอันดับคะแนน

ก็ชนขาข้างที่กางออกมาของนักแข่งอินโดเข้าอย่างจัง จนทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บบ

นักแข่งอินโดได้รับบาดเจ็บที่ขา กระดูกหักยับ มีข่าวว่าน่าจะต้องตัดขาข้างนั้นทิ้ง

ส่วนบอล จักกฤษณ์ก็ได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือ  สื่อไทยก็เอาข่าวนี้มานำเสนอตามเรื่องตามราว

■

ปรากฏว่า คนไทยด่านักแข่งชาวไทยกันระเบิดระเบ้อเลยว่ะครับ บ้างก็ด่าว่ามึงเป็นเด็กแว๊นซ์รึไงวะ

ไอ้ห่า สนามแม่งออกจะกว้าง มึงขับรถไปชนเขาได้ไง มึงเพิ่งเคยลงแข่งเป็นหนแรกรึไง๊

■

■

ไอ้นักบิดชาวไทย คนอย่างมึงน่ะเลิกแข่งรถไปซะ พวกกรูไม่มีใครยอมรับคนอย่างมึงได้หรอกเว้ย

■

บางคนก็หาว่านักแข่งชาวไทยแพ้แล้วพาล จงใจขับรถชนนักแข่งชาวอินโดนู่นเลย

■

■

มึงทำลงไปเพราะมึงอิจฉานักแข่งชาวอินโดที่เข้าเส้นชัยก่อนมึงรุึไง

■

แถมยังด่านักแข่งชาวไทยว่าทำไมมึงถึงต้องแกล้งขับรถไปชนเขาด้วยวะ

เสียทีที่เป็นคนไทย พฤติกรรมน่าอับอายค่อดๆเลยมึงอ่ะ

■

ชาวเน็ทฟังแล้วก็ไม่พอใจ ด่าคนไทยพวกนี้ว่ามึงจะบ้าเรอะ ขับมอไซด์กันเร็วจี๋ขนาดนั้น

ใครจะไปแกล้งชนชาวบ้านได้วะ ถ้าชนกันไม่ได้มีแต่คนโดนชนที่บาดเจ็บ

คนชนเองก็มีโอกาสเจ็บหนักได้เหมือนกันเว้ย

■

■

■

มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ

นักแข่งชาวไทยเขาไม่ได้ตั้งใจจะขับรถไปชนหรอกนะโว้ย

■

แต่พี่ไทยทั้งหลายก็ยังคงมโนกันต่อไปว่ามึงตั้งใจขับรถไปชนเขาแน่ๆ อย่ามาแถ กรูดูก็รู้แล้ว

ที่มันเจตนาขับรถไปชนเขานี่เพราะมีปัญหากันนอกสนามรึเปล่าว๊ะ

■

 ■

ชาวเน็ทก็ด่าพี่ไทยพวกนี้ว่าเลิกมโนได้แล้วสัส ไอ้พวกประสาท ใครมันจะเอารถไปประสานงานกัน

ด้วยความเร็วกว่าสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยความขัดแย้งส่วนตัววะ ไม่มีใครเขาคิดสั้นโง่ๆแบบพวกมึงหรอกนะ

■

■

พี่ไทยก็ยังเถียงต่อไปครับ บ้างก็บอกว่าถนนที่แข่งมอไซด์มันก็โคตรกว้าง

ถ้าเห็นนักแข่งอินโดอยู่ตรงหน้าทำไมมึงไม่หักหลบว๊ะ

■

ชาวเน็ทตอบว่า โอ้โหไอ้ฉิบหาย รถวิ่งมาด้วยความเร็วสองร้อยกิโลเมตร มึงมีปัญญาหักหลบหรือ

■

แล้วรถมอไซด์ที่ใช้แข่งขันเนี่ย วงเลี้ยวแคบ ต่อให้หักหลบยังไงก็ไม่พ้น ชนอยู่ดี

เผลอๆถ้าหักหลบอย่างที่มึงต้องการ นักแข่งชาวไทยมีโอกาสตายสูงลิบลิ่วด้วยซ้ำ

■

■

บ้างก็บ่นว่านักแข่งชาวไทยมันขับรถไม่ลืมตารึไงวะ มันมองไม่เห็นเรอะว่ามีนักแข่งอินโดขวางอยู่ข้างหน้า

■

ชาวเน็ทตอบว่า นักแข่งมอไซด์แนวนี้เวลาขับเขาต้องหมอบลงไปเพื่อลดแรงปะทะ เพิ่มความเร็วเว้ย

แล้วไอ้ตรงจุดที่นักแข่งชาวอินโดเขาชลอความเร็วอ่ะ มันพ้นจากเส้นชัยมาแค่นิดเดียว

ปรกติบริเวณนั้นเขาห้ามผ่อนความเร็วจนกว่าจะเลยจุดที่กำหนด

■

การที่นักแข่งชาวอินโดชลอความเร็วตำแหน่งนั้นก็อันตรายโคตรๆ เพราะนักแข่งคนอื่นๆที่ขับไล่ๆกันมา

เขาต้องเร่งทำเวลาเพื่อให้ได้อันดับสูงๆในการแข่งขัน ต้องให้เลยจุดอันตรายไปก่อนถึงจะชลอความเร็วได้สิวะ

■

มีพี่ไทยเถียงว่าการชลอมอไซด์เป็นเรื่องปรกติเว้ย มึงดูเด๊ะ ไอ้คนที่ชลอมันก็ขับชิดซ้ายแล้วไง

ดังนั้นมันทำถูกต้องตามกฏจราจร มึงจะไปโทษว่าเป็นความผิดของมันไม่ได้

เพียงแต่มันซวยที่มาเจอนักแข่งเกรียๆนจากเมืองไทยก็เลยโดนแซงซ้ายแล้วชนเข้าให้ไงล่ะไอ้สัส

■

ชาวเน็ทแย้งว่าไอ้เรื่องแซงขวามันกฏจราจรเว้ย ไอ้ที่มึงวิจารณ์อยู่นี่มันไม่ใช่การจราจร

แต่มันคือการแข่งมอไซด์ เขาจะแซงซ้ายหรือแซงขวาก็ได้ทั้งนั้น แต่ประเด็นคือ

ไอ้จุดที่เขาชลอความเร็วมันไม่ใช่จุดที่ควรจะชลอความเร็ว กฏแค่นี้ทำไมพวกมึงไม่เข้าใจกันวะ

■

ก่อนที่พวกมึงจะวิจารณ์อุบัติเหตุในครั้งนี้อย่างมั่วๆซั่วๆโดยไม่มีความรู้เชี่ยไรติดตัวเลย

กรุณาไปศึกษากฏกกติการในการแข่งขันมอไซด์ให้รู้เรื่องซะก่อนเหอะว่ะ

■

พี่ไทยก็บอกว่ากฏจะเป็นยังไงกรูไม่สนใจเว้ย อย่าอ้างเลยว่ากฏมันกำหนดไว้ว่ายังไง

มันเป็นแค่กฏในสนามแข่ง แต่กฏจราจรเขาบอกว่าต้องขับชิดซ้าย และมึงก็ไม่ควรแซงซ้ายโว้ย

■

พี่ไทยอีกคนก็โทษนักแข่งชาวไทยว่าเป็นเพราะความผิดของมึงทั้งหมดเลยที่เสือกไปแซงซ้ายเขา

นี่มึงทำให้เขาหมดอนาคตในวงการนี้ไปตลอดชีวิตเลยนะ ทำได้ไงวะเนี่ย แม่งโง่ฉิบหาย

■

ชาวเน็ทก็แซวว่า คนโง่อยู่แถวนี้มากกว่าว่ะ ไม่ใช่พ่อนักแข่งชาวไทยนั่นร้อกกกก

■

เป็นไงล่ะไอ้สัส อายมั้ยล่ะมึง ไม่รู้หีรู้แตดอะไรเกี่ยวกับกฏการแข่งขันยังมีหน้ามาเม้นเสร่อๆแบบนี้อีก

■

พี่ไทยตอบว่ากรูไม่อายหรอกโว้ย กรูจะอายทำไม เพราะกรูเถียงแทนนักแข่งชาวอินโดที่บาดเจ็บ

มึงเห็นมั้ยว่าขาเขาหักเละเทะ ไอ้ที่ขากระดูกหักจนเกือบขาดนั่น พวกมึงคิดว่ามันเป็นแค่ CG รึไงวะ

■

ชาวเน็ทก็อธิบายเป็นครั้งที่ล้านว่าประเด็นของเรื่องนี้คือการชลอรถในจุดที่ไม่ควรชลอโว้ย

■

พี่ไทยตอบว่า เออ ถึงมันจะชลอในจุดที่ห้ามลอ แต่มันโดนชนจนขาหลุดเชียวนะมึง

■

ไอ้พวกที่เข้าข้างนักแข่งชาวไทยอ่ะ เอาไว้ให้พ่อมึงโดนมอไซด์ชนจนขาขาดดูมั่งเหอะ

กรูอยากรู้นักว่าพวกมึงจะสรรเสริญไอ้คนที่ขับรถชนพ่อมึงจนพิการมั้ย

ผิดถูกเป็นยังไงกรูไม่สน กรูสนแต่ว่ามึงทำให้ชีวิตคนอื่นพัง คนแบบนี้กรูไม่สรรเสริญเว้ย

■

ชาวเน็ทตอบว่า มึงก็ไม่ต้องสรรเสริญหรอกว่ะ แต่ก่อนที่มึงจะด่านักแข่งชาวไทยเนี่ย

หัดไปทำความเข้าใจกฏกติกาของการแข่งขันหน่อยเห้อออ ขนาดฝั่งทีมงานของอินโด

เขายังยอมรับเลยว่าเป็นความผิดของเขาเองที่ชลอความเร็ว ถ้าพูดถึงขนาดนี้

แล้วยังไม่เข้าใจก็เชิญมึงด่าคนไทยด้วยกันต่อไปเอาตามที่มึงพอใจเลยครัชชช

■

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่น หรือการทำความเข้าใจในกฏกติกา มันจะเป็นเรื่องที่เกินศักยภาพของคนไทยบางจำพวก

พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน!!

https://www.facebook.com/…/1291185964231693?…

■

เรื่องมันมีอยู่ว่า เจมส์จิ ดารานักแสดงชื่อดัง เขาจะจัดงานคอนเสิร์ทครับ

เป็นงานคอนเสิร์ท เมจิค เจมส์ ที่จะจัดในวันเสาร์ที่ 13 ที่จะถึงนี้ งานจัดที่สยามพารากอน

ทีนี้ช่องสามเขาก็เอาเจมส์จิกับศิลปินคนอื่นที่จะขึ้นเวทีคอนเสิร์ท มาร้องเพลงโปรโมทในรายการ

คลิปข่าวตอนเจมส์จิร้องเพลงโปรโมทคอนเสิร์ทครับ

■

เอ้ย ผิดๆ ขออภัย ไม่ใช่ภาพนั้น ต้องภาพนี้ต่างหาก

■

สำหรับเสียงอันไพเราะเพราะพริ้งของเจมส์จิ เชิญไปฟังกันได้ที่คลิปนี้เลยครับ

External Link

ชาวเน็ทที่ฟังเสียงของเจมส์จิแล้วก็พากันชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่า เพราะ…

■

เพราะเหี้ยอะไรดลใจให้มึงจับไมค์ร้องเพลงว๊ะ ไอ้คนจัดงานคอนเสิร์ทนี่มึงได้ถามศิลปินมั้ยว่ามันอยากร้องเพลงรึเปล่า

มึงเป็นนักแสดง เล่นหนังเก่ง หน้าตาดี ไม่ได้แปลว่ามึงจะเก่งไปเสียทุกเรื่องนะเว้ยยยยยยย

เจมส์จิมันเล่นละครได้ ไม่ได้แปลว่ามันทำทุกอย่างได้ดีเลิศไปหมด

ไม่งั้นมึงไม่ลองส่งเจมส์จิขึ้นเวทีมวยไปต่อยกับบัวขาวดูมั่งล่ะอีดอกส์

■

ส่วนสนนราคาค่าตั๋วคอนเสิร์ทนี้มีตั้งแต่ 6000 – 1000 บาท ลดหลั่นกันไปครัช

■

โดยตั๋วราคา 6000 นี่จะได้อยู่หน้าเวทีริงไซท์แบบเห็นขนรักแร้เจมส์จิกระพือกันเลยทีเดียว

■

เดบิท http://www.thaiticketmajor.com/…/2935599-th.html

ที่เพจอวยไส้แตกแหกไส้ฉีก ก็อัพสเตตัสอวยเจมส์จิเอาไว้ว่า เสียงแบบนี้เนี่ยนะจัดงานคอนเสิร์ทค่าตั๋วราคาหกพัน!!

อ้ายคนจัดงานมึงใช้อะไรคิดวะถึงได้ตั้งราคาตั๋วแพงระยับขนาดนี้ เมิงคิดว่าแค่เอาเจมส์จิมาล่อ

ไม่ว่าราคาตั๋วจะแพงบัดซบแค่ไหน ติ่งมันก็พร้อมควักเงินซื้อรึไง กรูเข้าใจนะว่าติ่งเจมส์จิมันเยอะ

แต่ก่อนที่มึงจะตั้งราคาตั๋วซะขนาดนี้ มึงช่วยพิจารณาความสามารถของเจมส์จิด้วย ว่ามันคุ้มค่าตั๋วแล้วรึไม่

อีห่า ตั๋วคอนเสิร์ทราคา 6000 นี่มันเรทศิลปินระดับโลกอย่างเลดี้กาก้า หรืออดัม เลอวีน ชัดๆ

■

ไอ้พวกแฟนคลับก็ช่วยมีสติยั้งคิดกันหน่อย มึงไม่รู้สึกบ้างเลยหรือว่ากำลังโดนดูถูกอยู่

มึงคิดหน่อยเหอะว่าเงินหกพันมันไม่ใช่น้อยๆ เอาไปซื้อข้าวแดกได้หลายเดือนเลยนะมึง

หรือจะเอาเงินหกพันไปซื้อตั๋วเพื่อไปเกาะขอบเวทีดูศิลปินร้องเพลงพังๆให้มึงฟังวะ

■

ชาวเน็ทที่ฟังเสียงของเจมส์จิและอ่านคำวิจารณ์ของแอดมินจบแล้ว

ก็โวยวายกันใหญ่ว่าค่าตั๋วเชี่ยไรฟะตั้งหกพัน เงินหกพันแลกกับการไปคอนเสิร์ทของศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ

เพื่อฟังศิลปินนั้นร้องเพลงเสียงหลงแบบนี้เนี่ยนะ มันเป็นความคลั่งไคล้ที่ไร้เหตุผลสิ้นดีเลยว่ะ

■

ชาวเน็ทคนนึงชื่อ Hanna ก็แย้งแอดมินอวยไส้แตกฯว่า ติ่งเจมส์จิที่ซื้อตั๋วเขาก็ไม่ได้กะไปฟังเสียงเพลงอยู่แล้วปะ

ติ่งส่วนมากก็คงอยากซื้อตั๋วไปดูดาราที่ตัวเองชอบเต้นมุ้งมิ้งๆบนเวทีมั้ง จะเอาเจมส์จิ ไปเทียบกับอดัมเลอวีนก็ไม่ถูกนะ

ถึงบัตรมันจะราคาแพง แต่ถ้าติ่งมันพร้อมที่จะจ่ายก็ปล่อยมันไปเหอะน่า

■

แอดมินตอบว่า คอนเสิร์ท หมายถึงการแสดงดนตรีต่อหน้าคนดู มันก็ต้องเน้นคุณภาพดนตรีเป็นหลักดิวะ

■

Hanna ก็บอกว่ากลุ่มคนที่จะไปดูงานคอนเสิร์ทของเจมส์จิ กับคอนเสิร์ททั่วไป มันก็คนละกลุ่มกันใช่ปะ

มันเอามาเทียบกันไม่ได้ หรือจะบอกว่าเพราะเจมส์จิร้องเพลงกากส์ ให้ติ่งเจมส์จิไปดูคอนเสิร์ทอดัมดีกว่างั้นเหรอ

■

ชาวเน็ทก็เถียงแทนแอดมินว่าทำไมจะเอามาเทียบกันไม่ได้วะ ถ้ามันเป็นคอนเสิร์ทเหมือนกัน

เอามาเทียบกันก็ถูกแล้ว เงินที่ใช้ซื้อตั๋วคอนเสิร์ทมันก็เป็นเงินเหมือนกัน

อย่างของอดัมเนี่ยเขาศิลปินดัง ร้องเพลงก็เพราะ หน้าตาก็ดี หล่อกว่าเจมส์จิอีก

ถ้าคอนเสิร์ทอดัมจะคิดค่าตั๋วหกพัน อันนั้นก็เหมาะสมแล้ว แต่ในกรณีของเจมส์สิ

โอเคมึงหล่อ แต่เสียงมึงเป็นแบบนี้ มึงกล้าขายตั๋วราคาหกพันจริงๆเหรอวะคะ

■

■

ฝั่ง Hanna ก็อธิบายว่าเธอไม่ใช่ติ่มเจมส์จินะ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจมส์จิมันดังแค่ไหน

รู้แต่ว่าดาราหน้าตาแบบนี้ชื่อเจมส์จิ และที่ร้องเพลงโปรโมทคอนเสิร์ทก็ร้องห่วยมั่ก

แต่ประเด็นคือคอนเสิร์ทของเจมส์จิ กับของอดัมเลวีน มันเป็นคนละสไตล์กัน ไม่ควรเอามาเทียบกัน

คนที่จะซื้อตั๋วคอนเสิร์ทอดัมส่วนมากเขาก็คงซื้อเพราะอยากฟังเพลงเพราะๆ แต่ของเจมส์จิมันไม่ใช่

ติ่งเจมส์จิเขาไม่สนใจหรอกว่าเจมส์จิจะร้องเพลงดีร้ายยังไง ขอแค่ได้เห็นเจมส์จิทำท่ามุ้งมิ้งๆบนเวทีก็พอแล้ว

ซึ่งมันก็เป็นสิทธิของเขา เป็นความพึงพอใจของติ่งเขา เราจะไปยุ่งกับรสนิยมของเขาทำไม

■

■

ชาวเน็ทที่เห็นด้วยกับ Hanna ก็เสริมว่าที่เธอพูดมาน่ะถูกแล้ว มันเป็นเรื่องของอุปสงค์อุปทาน

ถ้าไม่มีอุปสงค์ ไม่มีติ่งที่พร้อมจะควักเงินหกพันเพื่อไปดูเจมส์จิทำตัวมุ้งมิ้งบนเวที

แล้วผู้จัดมันจะกล้าตั้งราคาตั๋วแบบนี้ได้ยังไง ถ้าติ่งมันพอใจที่จะควักเงิน

ในราคานี้ก็เรื่องของมัน เราไม่มีสิทธิไปด่าติ่งมันว่าโง่ไม่รู้จักใช้เงินหรอกนะ

■

เพราะเงินก็เงินของติ่งมัน มันจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของมัน ยิ่งประเด็นคุ้มไม่คุ้มนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย

เพราะสำหรับติ่งบางคน แค่เห็นซิกแพกซ์เจมส์จิ ต่อให้ค่าตั๋วหกพันก็ถือว่าโคตรคุ้ม

มันเป็นมูลค่าทางจิตใจไง ตราบเท่าที่ติ่งคิดว่ามันคุ้มก็ปล่อยเขาไปเหอะ

■

■

■

ฝั่งที่เห็นด้วยกับแอดมินฟังแล้วก็ร้องเหยดและบ่นว่ามึงซื้อความพึงพอใจล้วนๆ

แบบคุณภาพเป็นยังไงช่างหัวมันในราคาตั้งหกพันได้จริงๆเหรอวะ

■

คือมึงโปรโมทว่าเป็นงานคอนเสิร์ทอย่างนี้เนี่ย กลุ่มเป้าหมายมึงไม่ได้มีแต่ติ่งนะเว้ย

ถ้ามีคนที่ดูโฆษณาแล้วสนใจ คิดว่ามึงเป็นนักร้องเสียงดี ก็เลยตีตั๋วเข้าไปฟัง

แต่เจอเสียงร้องแบบในคลิปโปรโมทขึ้นมา คนดูเขาจะรู้สึกยังไงวะ

■

ถ้าไม่อยากให้พวกกรูด่า ก็เปลี่ยนชื่อจากงานคอนเสิร์ทเป็นงานมีทติ้งสิวะ คอนเสิร์ทมันต้องร้องเพลงได้ดี

ไม่ใช่ร้องเพลงแบบเสียงรองเท้าแตะย่ำถนนลูกรังยังน่าฟังกว่า แบบนั้นมันไม่ใช่คอนเสิร์ทแล้ว

ถ้ามึงจะจัดงานให้เจมส์จิไปทำตัวมุ้งมิ้งบนเวที ให้ติ่งเจมส์จิได้ระรี้ระริกด้วยความพึงพอใจแล้วล่ะก็

มึงเลิกใช้ชื่องานนี้ว่า คอนเสิร์ท แล้วเปลี่ยนชื่องานเป็น แฟนคลับมีทติ้งเหอะว่ะ

■

■

■

ที่คนเขาวิจารณ์กันขรมเนี่ย ไม่ได้ด่าติ่งที่ควักเงินไปดูงานคอนเสิร์ทนี้นะ

แต่ประเด็นคือไอ้นี่มันเป็นโปรดัคชั่นในประเทศ งานก็จัดในประเทศ ทำไมค่าตั๋วแม่งแพงขนาดนี้วะ

ไอ้พวกงานมีทติ้งที่ให้ดารามาทำตัวมุ้งมิ้งให้ติ่งดูก็เห็นจัดกันตั้งเยอะแยะ ไม่เคยเห็นงานไหนแพงขนาดนี้เลย

ถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงกันจริงๆ มันต้องเอางานคอนเสิร์ทของเจมส์จิ ไปเทียบกับคอนเสิร์ทของศิลปินเกาหลี

แต่ของติ่งเกาหลีนี่ถ้าเขายอมควักเงินหกพัน ก็ยังพอเข้าใจเพราะค่าใช้จ่ายมันเยอะ

ไหนจะต้องจ้างศิลปินเกาหลีมาจากแดนไหน ไหนจะค่กิน ค่าอยู่ ค่าโรงแรม ค่านู่นค่านี่ บลาๆ

แล้วศิลปินเกาหลีส่วนมากมันก็นานๆจะมาเมืองไทยซักที และไอ้พวกนี้มันซ้อมเต้นซ้อมร้องเพลงกันมานาน

เพลงที่ร้องก็เป็นเพลงของวงตัวเอง อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าดูแล้วคุ้มกว่าเยอะ

พูดก็พูดเหอะ ขนาดศิลปินเกาหลีมาจัดงานคอนเสิร์ทที่ไทยยังไม่ค่อยเห็นงานไหนราคาแพงขนาดนี้เลย

ถ้าใครพร้อมที่จะควักเงินซื้อก็เรื่องของมึง แต่กรูก็มีสิทธิที่จะวิจารณ์ว่าตั๋วมันแพงเกินคุ้มเหมือนกัน

■

ที่แอดมินมันเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาก็เพราะอยากเปรียบเทียบระหว่างคอนเสิร์ทที่จัดในประเทศ โดยศิลปินในประเทศ

ไปเปรียบเทียบกับคอนเสิร์ทที่ต้องอิมพอร์ทศิลปินต่างประเทศเข้ามา แน่นอนว่าทั้งสองงานต้นทุนต่างกัน

แต่ทำไมราคาขายกลับใกล้เคียงกันล่ะ อีติ่งทั้งหลาย พวกมึงคิดสิคิดว่ามันคุ้มที่จะจ่ายค่าตั๋วหกพันจริงๆหรือไม่

ถ้ามึงอยากสนับสนุนเจมส์จิในระยะยาว มึงก็ควรจะแสดงทีท่าว่าไม่เห็นด้วยกับราคาตั๋วของงานนี้

เพราะสุดท้ายคนที่ไม่พอใจการตั้งราคา มันจะเอาประเด็นนี้ไปโยนใส่เจมส์จิกันหมด จนชื่อเสียงย่อยยับป่นปี้

เผลอๆงานนี้อาจจะกลายเป็นงานคอนเสิร์ทครั้งสุดท้ายก็ได้ ถ้าพวกมึงหวังดี

อยากเห็นเจมส์จิมุ้งมิ้งๆให้ติ่งดูในระยะยาว ต้องช่วยกันตักเตือนก่อนเจ้าตัวจะถลำลึกไปกว่านี้สิวะ

■

ฝั่งที่เชียร์เจมส์จิก็บอกว่า มึงอย่าเสือกดิครับ เงินใครก็เงินมัน ถ้าติ่งมันอยากดูก็ปล่อยมันไป

ถึงตั๋วจะแพง แต่สิ่งที่มันทำก็ไม่ได้ผิดกฏหมาย ไม่ได้ผิดจริยธรรม แล้วมึงจะไปห้ามติ่งซื้อตั๋วคอนเสิรททำไม

■

■

การที่พวกมึงไม่ถูกใจเสียงของเจมส์จิ ก็ไม่ได้แปลว่าติ่งเจมส์จิจะต้องไม่ถูกใจเหมือนกับพวกมึงนะ

มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัว ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก ถ้ามึงด่าติ่งที่ซื้อตั๋วหกพันว่าใช้เงินไม่คุ้มค่า

แล้วพวกนักสะสมพระเครื่องที่เสียเงินเป็นล้านๆเพื่อบูชาพระเครื่องล่ะ ผู้หญิงที่เสียเงินเป็นล้านซื้อกระเป๋าราคาแพงมาสะสมล่ะ

นักดื่มไวนท์ตัวยงที่ทุ่มเงินมหาศาลประมูลไวน์ที่อยู่ในเรืออัปปางใต้ทะเลหลายร้อยปีมาแดกล่ะ

ทั้งหมดที่ว่ามานี้มันเป็นเรื่องของรสนิยมหรือความชอบส่วนบุคคลทั้งนั้น การใช้เงินแบบนี้อาจดูโง่เง่าในสายตาคนอื่น

แต่ไม่ได้แปลว่ามึงจะมีสิทธิด่าเขาว่าเป็นคนโง่เพียงเพราะรสนิยมของเขาแตกต่างจากพวกมึงนะ

■

ประเด็นที่ว่าตั้งราคาไม่สมกับคุณภาพของเสียงร้องก็เหมือนกัน อันนี้คนตัดสินไม่ใช่พวกมึง

แต่ติ่งต่างหากที่จะเป็นคนตัดสิน ถ้าให้เปิดจองตั๋วแล้ว ตั๋วราคาหกพันขายหมดเกลี้ยง

ก็แปลว่คนจัดงานเขาตั้งราคาได้เหมาะสมแล้ว เพราะมันมีติ่งที่พร้อมจะทุ่มเงินซื้่อตั๋วในราคานั้นอยู่จริง

แต่ถ้าตั๋วขายไม่ออก จนงานเจ๊ง เด๋วรอบหน้าผู้จัดมันก็ปรับลดราคาค่าตั๋วลงมาให้เหมาะสมเองแหละ

มึงไม่ต้องกังวลแทนเจมส์จิร้อกกกก

■

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร คอนเสิร์ทของเจมส์จิผู้มีน้ำเสียงนิ้งประดุจน้ำค้างกลางหาว

จะขาวตั๋วราคาหกพันได้หมดเกลี้ยงหรือไม่ พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน!!

https://www.facebook.com/…/1645498338999426