■

เดบิทภาพประกอบ http://www.human.cmu.ac.th/…/

เรื่องมันมีอยู่ว่า พรบ ลิขสิทธิ์ฉบับใหม่กำลังจะบังคับใช้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

เนื้อหาของ พรบ ก็ประมาณนี้นะครับ ลองไปอ่านกันดู

http://www.thairath.co.th/…/515914

ทีนี้มันมีคนจำนวนนึงแตกตื่นตกใจกับ พรบ ลิขสิทธิ์ฉบับนี้ บางคนก็โวยวายว่า

ถ้ามึงจะเคร่งลิขสิทธิ์กันนักแล้วจะเอาผลงานมาเผยแพร่ลงเฟซบุ๊คทำไมวะ

ยกตัวอย่างเช่น เพจนี้มีไว้แบ่งปัน ไอ้เพจนี้มันก็โพสภาพประมาณว่า กฏหมายลิขสิทธิ์บ้าบออะไรวะ

ถ้าภาพไหนที่มึงห้ามไม่ให้คนอื่นแชร์มึงก็ใส่ข้อความไว้ด้วยดิว่าภาพนี้ห้ามแชร์

สงวนลิขสิทธิ์ไว้เฉพาะตัวมึงคนเดียว ถ้าไม่มีข้อความนั้นถือว่าเป็นภาพสาธารณะพวกกรูมีสิทธิโว้ย

ไม่งั้นมึงก็เก็บผลงานใส่ไหฝังดินไว้ดูคนเดียวเหอะ อย่าเจือกเอามาโพสในเน็ทให้คนอื่นดูเล้ย

■

■

บรรดาสาวกของเพจนี้ก็ร้องเย้วๆเป็นลูกกระจ๊อกกี๊ๆกันใหญ่ว่า กี๊ๆ ถูกต้องแล้ว

ถ้ามึงหวงนักจะเอามาโพสลงเน็ททำไมวะ ถ้ามึงโพสลงเน็ทแปลว่านั่นเป็นของสาธารณะแล้วโว้ย

ลูกหาบบางคนกล่าวว่า ถ้ามึงไม่อยากแบ่งปันภาพสวยๆงามๆของมึงให้คนอื่นดู มึงก็เอาไปเผาทิ้งเหอะ

■

ภาพสวยๆพวกนี้มึงจะหวงเอาไว้ทำไมว๊ะ ตายไปมึงก็เอาผลงานมึงติดตัวไปไม่ได้หรอกน๊ะ

■

ชาวเน็ทก็ย้อนถามลูกหาบพวกนี้ว่า แล้วมึงจะหายใจไปทำซากอะไร ในเมื่ออนาคตมึงก็ต้องตายอยู่ดี

■

ต่อให้เจ้าของผลงานตายไป แต่ลูกหลานเขาก็ยังมีสิทธิที่จะได้รับผลประโยชน์จากผลงานของเขาโว้ย

ถ้ามึงอยากได้ภาพฟรีๆไปใช้กันนัก มึงก็รอให้เจ้าของผลงานเขาเท่งทึงซักห้าสิบปีก่อนสิวะ

ถึงตอนนั้นภาพมันหมดลิขสิทธิ์แล้ว มึงจะเอาไปใช้ฟรียังไงก็ตามสะดวกเลย

■

■

ถึงไอ้พวกที่ไม่เข้าใจว่าการให้เครดิตภาพถ่ายสวยๆงามๆมันสำคัญยังไง ขออธิบายให้พวกมึงทราบโดยทั่วกันว่า

ภาพถ่ายสวยๆพวกนี้กว่าจะได้มา มันไม่ใช่แค่กดชัตเตอร์แชะๆแล้วได้ภาพสวยๆมาเลยนะ

แต่ช่างภาพมันต้องอาศัยจังหวะ เทคนิค โอกาส ประสบการณ์ ในการถ่ายภาพสวยๆมาให้มึงดู

บางภาพนี่คนถ่ายต้องใช้เวลาเป็นวันๆ เพื่อรอถ่ายภาพในจังหวะที่สวยงามที่สุด

แล้วพอได้ภาพมา ก็ยังต้องไปโพรเซส ผ่านกระบวนการแต่งภาพอีกมากมายกว่าจะได้ภาพสวยๆออกมาภาพนึง

ซึ่งไอ้ที่ว่ามาเนี่ย มันมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไหนจะค่ากล้อง ค่าเสียเวลา ค่าโปรแกรม บลาๆ

เมื่อเขาลงทุนไปซะขนาดนั้น เขาก็มีสิทธิที่จะได้ค่าตอบแทนให้สมกับฝีมือของเขาสิวะ

แต่ถ้ามีคนเอาภาพของเขาไปตัดลายน้ำออก แอบอ้างว่าเป็นผลงานตัวเอง

แล้วเอาไปแสวงหากำไร ชื่อเสียง ทั้งๆที่มันไม่ได้ลงทุนลงแรงห่าอะไรเลย มึงคิดว่ามันถูกต้องแล้วเหรอ

■

ลูกหาบคนนึงก็หยามหยันบรรดาเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพว่า สงสัยไอ้พวกนี้แม่งจะอยากได้เงินค่าลิขสิทธิ์จนตัวสั่น

■

ชาวเน็ทก็ถามลูกหาบว่า ถ้าเจ้าของภาพเขาอยากได้ค่าตอบแทนจากผลงานของเขา แล้วมันผิดตรงไหนวะป้า

ก็ผลงานของเขาอะ ถ้ามึงไม่อยากจ่ายค่าลิขสิทธิ์ มึงก็อย่าเอาภาพของเขาไปใช้ดิวะ

■

ลูกหาบอีกคนกล่าวว่า ถ้าเจ้าของภาพมันอยากได้เงินค่าลิขสิทธิ์ มึงก็เก็บไว้ขายลิขสิทธิ์เองดิวะ

จะเอามาลงในเน็ทหรือสื่อออนไลน์ทำไมไม่ทราบ คนเล่นเน็ทที่ไม่รู้เขาอาจเอาภาพของเอ็งไปใช้ด้วยความไม่รู้ก็ได้นะเว้ย

■

ชาวเน็ทตอบว่า มึงไม่รู้ก็หัดรู้เรื่องกฏหมายลิขสิทธิ์ซะบ้างดิวะ ไม่ใช่มาห้ามไม่ให้เจ้าของภาพเผยแพร่ผลงานของตัวเอง

คนที่วาดรูป ถ่ายภาพ ผลิตผลงานมาเพื่อแสวงหาผลกำไร ถ้าไม่ให้โพสโชว์ผลงานในเน็ท แล้วมึงจะให้เขาเอาไปโชว์ทางไหนว๊ะ

■

ช่างภาพคนนึงอธิบายว่า พอตูเอาผลงานของตูอัพลงเฟซบุ๊คเนี่ย เมิงสามารถแชร์ได้นะ

แต่มึงแค่ไม่สามารถเอาภาพนั้นไปขาย หรือไปแอบอ้างว่าเป็นผลงานของมึงเอง ก็เท่านั้น

ถ้ามึงปฎิบัติตามนี้ได้ มึงก็ไม่ต้องกลัวการละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว

■

พูดง่ายๆ แค่มึงกดปุ่มแชร์ ก็หมดเรื่องแล้ว เพราะการที่มึงแชร์ภาพจากเจ้าของผลงานโดยตรง

มันจะมีเครดิตของเจ้าของผลงานพ่วงมาด้วย และเจ้าของผลงานก็เต็มใจให้พวกมึงแชร์ผลงานอยู่แล้ว

ขอแค่มึงไม่ขโมยภาพเขาไปอัพใหม่ก็พอ เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมพวกมึงถึงไม่เข้าใจว๊ะ

■

ไอ้แอดมินเพจก็เหมือนกัน ก่อนที่มึงจะมาปลุกระดมให้คนต้าน พรบ ฉบับนี้ มึงไปอ่านกฏหมายให้ดีๆก่อน

ถ้ามึงไม่ได้เอาผลงานของชาวบ้านไปหาแดก ไปแสวงหาผลกำไรในเชิงพาณิชย์ พรบ ฉบับนี้ไม่มีทางทำห่าอะไรมึงได้เลย

■

ลูกหาบคนนึงกล่าวว่า รูปไหนมีลิขสิทธิ์ เอ็งก็เขียนป้ายกำกับไว้ดิว่าภาพนี้มีลิขสิทธิ์ห้ามแชร์นะ พวกตูจะได้ไม่ไปแตะต้องมัน

■

ชาวเน็ทตอบว่า ภาพทุกภาพมันก็มีลิขสิทธิ์หมดนั่นแหละ ผลงานพวกนี้ถือว่า มีลิขสิทธิ์คุ้มครองตั้งแต่ผลงานนั้นผลิตเสร็จแล้ว

ไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์แต่ประการใด ต่างจากพวกเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรที่ต้องไปจดทะเบียนก่อน

■

■

ลูกหาบรายนี้ก็เถียงว่า ชั้นเป็นคนบ้านนอกคอกนา ไม่ค่อยรู้กฏหมายซักเท่าไหร่

แต่ชั้นก็แค่คิดจะเอาภาพสวยๆพวกนี้มาส่งเล่นๆให้เพื่อนเท่านั้นเองนะ

■

■

ชาวเน็ทก็ปลอบเธอว่า ถ้าเอาภาพมาส่งเล่นกับเพื่อนสนุกๆแบบนั้นไม่เป็นไร ไม่ผิดกฏหมายฉบับนี้หรอก

ไม่ต้องกังวลหรอก มันเป็น fair use ขอแค่ไม่เอาภาพของคนอื่นไปขาย หรือแอบอ้างว่าเป็นผลงานของตัวเองก็พอแล้ว

■

จำไว้ว่าถึงจะไม่รู้กฏหมาย แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างให้เราละเมิดกฏหมายได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน

ที่ต้องรู้กฏหมายและหลีกเลี่ยงไม่ทำผิด ถึงจะเป็นคนบ้านนอกคอกนา แต่ทุกวันนี้มีแหล่งข้อมูลให้เราค้นคว้าเยอะแยะ

เช่น ไปถามกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูก็ได้ว่าถ้าไม่อยากละเมิดกฏหมายฉบับนี้ควรปฎิบัติตัวยังไง

■

คนที่เล่นเฟซเป็นอย่างน้อยก็น่าจะใช้เน็ทค้นหาข้อมูลเรื่องกฏหมายลิขสิทธิในเน็ทมาอ่านได้บ้างนะ

ความรู้สมัยนี้หาไม่ยากเลย ยิ่งเป็นเพจที่รณรงค์เรื่องลิขสิทธิ์นี่มีให้เห็นอยู่เต็มไปหมด

หัดออกจากกะลาแคบๆอย่างในเพจนี้ ออกไปศึกษาโลกกว้างที่เขาเข้าใจความสำคัญของลิขสิทธิ์กันมั่งนะยะ

■

ไอ้เรื่อง พรบ ลิขสิทธิ์ตัวใหม่นี่จ่าเห็นคนแตกตื่น โวยวาย ไม่พอใจกันเยอะมาก ไม่ได้มีแต่เพจนี้เพจเดียวนะ

เอางี้ครับ จะอธิบายง่ายๆ พรบ ตัวนี้เนี่ย มันเอื้อให้กับผู้ผลิตงานให้สามารถฟ้องไอ้พวกละเมิดลิขสิทธิ์ได้ง่ายขึ้น

ก็แค่นั้นแหละ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีโคตรๆ ถ้าพ่อแม่พี่น้องไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ใคร ไม่ไปขโมยภาพชาวบ้านมาอัพใหม่

ไม่ได้เอาผลงานคนอื่นมาแอบอ้างว่าเป็นของตัวเอง แค่เห็นภาพสวยๆแล้วกดแชร์กดไลค์

หรือเซฟไว้ดูเล่นคนเดียวหรือในหมู่เพื่อนฝูง ไม่ได้เอาไปขายหากำไร

พ่อแม่พี่น้องไม่ต้องกังวลห่าอะไรเล้ยยยยยยยยย หรือถ้ายังติดใจ แนะนำให้ศึกษาเรื่อง fair use

fair use คือ ข้อยกเว้นในการละเมิดลิขสิทธิ์ หมายถึงเราสามารถเอาผลงานที่มีลิขสิทธิ์

ไปใช้ได้ในบางรูปแบบโดยไม่ถูกฟ้องข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์แน่นอน เช่น เอาไปใช้เพื่อการวิพากษ์วิจารณ์

เพื่อการศึกษา เพื่อนำเสนอข่าว บลาๆ รายละเอียดเชิญอ่านในภาพข้างล่างครับ

■

เดบิท http://www.teca.co.th/…/exception_piracy.pdf

อนึ่งใน พรบ ฉบับใหม่ยังมีประเด็นที่อาจต้องตีความ เช่น เรื่อง embeded code youtube

อันนี้คงต้องรอมีคดีตัวอย่างก่อนว่าศาลจะตีความว่ามันผิดมั้ย ตอนนี้ก็กดแชร์คลิปกันไปพลางๆ อย่าเพิ่ง embeded ก็พอ

จำไว้ว่าการกดแชร์ภาพจากเจ้าของผลงานนั้น ปลอดภัยไร้กังวล ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์แน่นอน
แค่กดแชร์จึ๊กเดียวเท่านั้น กำดอชักว่าวยังยุ่งยากกว่านี้เยอะ

ส่วนที่คนเฒ่าคนแก่ที่ชอบเล่นไลน์แล้วส่งรูปดอกไม้สวยๆงามๆในไลน์ อันนี้ไม่ต้องกังวลนะครับ

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าส่งไม่ได้ ผิดกฏหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

เพราะมันไม่ใช่การใช้ภาพดอกไม้นั้นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ครัช

■

เดบิท https://www.facebook.com/…/?…

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร ลิขสิทธิ์ตายไปก็เอาไปไม่ได้

แต่คนที่ละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกฟ้องจนหมดตูดเหมือนตายทั้งเป็นได้หรือไม่

พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน!!

https://www.facebook.com/…/?…

https://www.facebook.com/…/?…

■

เรื่องมันมีอยู่ว่ามันฝรั่งยี่ห้อ Pringles เขาออกสปอทโฆษณาตัวใหม่ โฆษณามันฝรั่งอบกรอบแบบกระป๋องของเขา

เนื้อหาในโฆษณาประมาณว่า คนแอบเอาเจ้ากระป๋องมันฝรั่งที่อันเล็กนิดเดียว ซ่อนไว้ในมวยผม

เพื่อเอาเข้าไปกินในโรงหนังอย่าสบายใจเฉิบ ประเด็นคือ ทุกวันนี้ โรงหนังบ้านเรามันขายขนม น้ำอัดลมหน้าโรงในราคาแพงหูฉี่ไง

บางทีแม่งแพงกว่าค่าตั๋วหนังซะอีก พอจะซื้อขนมจากข้างนอกเข้าไปกิน โรงหนังก็ดันห้ามเอาขนมที่ซื้อจากที่อื่นเข้าโรงซะนี่

มีชาวพันทิปคนนึงดูสปอทโฆษณานี้แล้วไม่พอใจ ตั้งกระทู้จวกทาง Pringles ว่า เมิงทำโฆษณายุให้คนละเมิดกฏอย่างภาคภูมิใจเหรอวะ

■

คนที่เห็นด้วยกับ จขกท ก็สงสัยว่าไอ้พวกเอเจนซี่ โปรดิวเซอร์ที่ผลิตโฆษณาชุดนี้ออกมา

ไม่มีแม้แต่คนเดียว ที่คิดว่าการละเมิดกฏของนักแสดงในโฆษณามันผิดเลยเหรอวะ

■

ถ้าคนทำตามอย่างในโฆษณานี้ อีกหน่อยคงมีคนแอบเอาน้ำอัดลมขึ้นเครื่องบิน

เพราะราคาถูกกว่าที่ขายบนเครื่องแหงเลยว่ะ แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะมึง

ถ้ามึงคิดว่าน้ำอัดลม ขนมที่ขายหน้าโรงหนังมันแพง มึงก็ประท้วงเขาโดยการงดอุดหนุนสิวะ

ไม่ใช่แอบเอาขนมเข้าโรงหนังแล้วทำท่าภูมิใจเสียเต็มประดาแบบในโฆษณา

ไม่งั้น ทั้งคนดูกับโรงหนังมันก็เหี้ยไม่แตกต่างกันซักเท่าไหร่หรอกว่ะ

■

คนที่ไม่เห็นด้วยกับ จขกท ก็ถามว่า คำว่าโกงของมึงมันหมายถึงอะไรล่ะ

การกระทำของนักแสดงในโฆษณา กรูว่ามันเป็นการเล่นกับกฏที่โรงหนังตั้งขึ้นโดยเอาเปรียบผู้บริโภคซะมากกว่า

เพราะราคาขนมน้ำอัดลมที่ขายหน้าโรงหนังแม่งแพงฉิบหาย ถึงขนาด สคบ ยังเคยลงไปตรวจสอบเลยนะ

■

ชาวพันทิปที่เห็นด้วยกับความเห็นนี้ก็ร้องเย้วๆบอกว่าใช่แล้วโว้ย คลิปโฆษณานี้ไม่ได้โกง

โรงหนังต่างหากที่โกงพวกกรูด้วยการขายขนมโก่งราคา พวกกรูจ่ายเงินซื้อตั๋วหนังเข้าไปดูในโรงนะเว้ย

กะอีแค่แอบเอาขนมเข้าไปกินมันจะเรียกว่าโกงได้ยังไงวะ

■

■

■

ทำไมพวกเราถึงต้องทนให้โรงหนังกดขี่ข่มเหงเราด้วยการขายขนมแพงหูฉี่กว่าราคาตลาดหลายเท่าตัวด้วยวะ

ยกตัวอย่างเช่น น้ำเปล่าราคาขวดละสิบบาท หน้าโรงหนังแม่งตั้งราคาซะยี่สิบ ถ้ากรูหิ้วน้ำมากินจากบ้านจะถือว่ากรูโกงปะ

ในคลิปนี้กรูไม่ถือว่าโกง แต่มันคือการเสียดสีโรงหนังที่ขายขนมแพงเกินไปเว้ย

■

■

คนที่เข้าข้างโรงหนังก็บอกกับชาวพันทิปพวกนี้ว่า ถ้ามึงรู้สึกว่าขนมหน้าโรงหนังมันแพงเกินไป

มึงก็ไม่ต้องแดกสิคะ กะอีแค่อดน้ำอดอาหารตอนดูหนังแค่สองชั่วโมง คงไม่ถึงตายหรอกมั้ง

การทำธุรกิจมันต้องแสวงหาผลกำไรเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่ให้เจ้าของโรงหนังหากำไร

มึงให้เขาเลิกกิจการแล้วไปเปิดโรงทานเลยดีกว่าป่ะ

■

ชาวพันทิปก็โวยว่ามึงคิดงี้ได้ไงวะ ใจคอมึงจะปล่อยให้โรงหนังมันเอารัดเอาเปรียบเราไปเรื่อยเลยเรอะ

ไอ้การตั้งราคาแพงสัสหมาแบบนี้มันไม่ใช่แค่แสวงหาผลกำไรธรรมดาๆแล้ว

มึงรู้ไหมว่าถ้ามีพ่อค้าแม่ค้า ขายน้ำเปล่าเกินราคาไปบาทสองบาทในแพงลอยข้างถนน

มีสิทธิโดนเจ้าหน้าที่จับกุมเพราะมันผิดกฏหมาย แต่พอโรงหนังทำมั่ง

เสือกมีคนออกมาปกป้องว่าเป็นสิทธิของมัน ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องแดกซะงั้น

■

■

ข่าวที่เกี่ยวข้องครัช

■

เดบิท https://www.facebook.com/…/146190168739282

อย่ามาบอกว่าถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องซื้อขนมแดก เพราะมันแปลว่าพวกมึงยอมรับในกฏที่ไม่เป็นธรรม

ยอมให้คนกดขี่ข่มเหงพวกมึงตามอำเภอใจ โดยใช้กฏเป็นเครื่องมือบังหน้า

กฏที่โรงหนังตั้งขึ้น ถ้ามันไม่ดี เราก็มีสิทธิที่จะประท้วงให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงได้สิวะ

ไม่ใช่เห็นกฏห่วยๆแล้วก็จมปลักอยู่กับมันต่อไป นี่ถ้ามึงจับผลัดจับพลูไปอยู่ในประเทศที่มีกฏบ้าๆบอๆ

เช่น มีกฏหมายห้ามผู้หญิงเรียนหนังสือ แล้วบังคับให้พวกมึงไม่ต้องเรียนหนังสือ อยู่บ้านเลี้ยงควายไปวันๆ

เป็นมึง มึงจะก้มหน้าก้มตำทำตามที่กฏบ้าๆบอๆมันสั่งให้มึงทำมั้ยล่ะ

■

ฝั่งทีมโรงหนังก็แย้งว่ามันเป็นสถานที่ของเขา กฏระเบียบเขาก็ตั้งไว้ ถ้ามึงไม่พอใจก็ไม่ต้องไปใช้บริการดิ

จะมาอ้างว่าเขาขายของแพง แปลว่ามึงมีสิทธิละเมิดกฏข้อบังคับของสถานที่เขาเหรอฟะ

■

แต่ที่พวกมึงโวยๆกันว่าขนมหน้าโรงหนังแพงเนี่ยก็พอเข้าใจนะ แต่พวกมึงไปใช้บริการโรงหนัง

เพื่อดูหนัง หรือว่าเพื่อไปแดกขนมในโรงหนังกันแน่วะ ถ้าทนอดน้ำอดอาหารแค่สองชั่วโมงไม่ได้

แนะนำให้มึงแวะไปฟู้ดคอร์สแล้วแดกข้าวแดกน้ำให้พุงกางก่อนดูหนังเถิดค่ะ

ปล อีพวกที่แดกขนมในโรงหนัง เสียงดังน่ารำคาญฉิบหายเลยค่ะ

■

ชาวพันทิปก็แย้งว่าพวกกรูจ่ายเงินเข้าไปดูหนัง และในเมื่อโรงหนังอนุญาตให้เอาขนมที่มันขายหน้าโรงเข้าไปแดก

แปลว่ามันอนุญาตให้กินขนมในโรงหนังได้ ถ้าพวกกรูจะเอาขนมจากข้างนอกเข้าไปกิน มันก็เป็นสิทธิที่ควรทำได้สิวะ

มันมีกฏหมายข้อไหนระบุว่าพวกกรูไม่สามารถเอาขนมที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของกรูเข้าไปกินในโรงได้บ้าง

■

มีกฏหมายมาตราไหนในรัฐธรรมนูญที่กำหนดบทลงโทษให้กับคนที่เอาขนมข้างนอกเข้าไปแดกในโรงหนังมั่งวะ

โรงหนังมึงมีสิทธิตั้งกฏได้ก็จริง แต่โรงหนังตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินไทย

กฏข้อบังคับที่มึงตั้งไว้ ต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย

ดังนั้นการที่มึงห้าม มิให้พวกกรูเอาขนมเข้าไปแดก จึงเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของพวกกรู กรูไม่ยอม กรูไม่ยอม

■

อมยิ้มคนนึงตอบว่าโรงหนังทำได้ว่ะ เพราะมันไม่มีกฏหมายห้าม ไม่ให้เอกชนห้ามไม่ให้พวกมึงเอาขนมเข้าไปแดกไง

เอกชนมันต่างกับหน่วยงานของรัฐนะมึง หน่วยงานของรัฐ ทำในสิ่งที่กฏหมายให้อำนาจเอาไว้

ส่วนเอกชน ถ้ากฏหมายไม่ห้ามไว้ มันจะทำอะไรก็ได้ตราบเท่าที่ไม่ทำให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อนว่ะ

■

การที่โรงหนังตั้งราคาขนมน้ำอัดลมสูงๆ มันก็เป็นสิทธิของเขา เหมือนกับที่อาหารน้ำอัดลมในสนามบินมันแพงกว่าข้างนอกนั่นล่ะ

หรือยกตัวอย่างง่ายๆ กาแฟสตาร์บัคกับกาแฟสดแผงลอย มันก็กาแฟเหมือนกัน

แต่ทำไมราคาต่างกันลิบลับล่ะ แถมคนยังแห่กันไปซื้อแดกโดยไม่มีใครบ่นว่าโดนเอาเปรียบเลยซักคำ

มันเป็นเรื่องของแบรนด์และสถานที่จำหน่ายสินค้าที่มีผลต่อราคาสินค้า ซึ่งเป็นเรื่องปรกติโคตรๆในยุคทุนนิยมว่ะ

■

แต่ถ้ามึงไม่เห็นด้วยกับกฏที่โรงหนังตั้งขึ้น มึงก็มีสิทธิที่จะประท้วง ก่อหวอด ตั้งกระทู้ล่อเป้าในพันทิป

หรือจะฟ้อง สคบ ให้เขามาตรวจสอบก็ได้ แต่มึงไม่มีสิทธิละเมิดกฏของเขาด้วยการแอบเอาขนมเข้าไปแดก

เพราะมึงยอมรับกฏของเขาตั้งแต่มึงซื้อตั๋วดูหนังแล้วว่ะ แต่จะร้องเรียน สคบ ไปก็คงเปล่าประโยชน์นะ

เพราะ สคบ กำหนดให้ร้านอาหาร โรงหนังทุกแห่ง ตั้งราคาสินค้าเท่าไหร่ก็ได้ ขอแค่ติดป้ายราคาให้ชัดเจนก็พอ

■

ขนมหน้าโรงหนังมันต่างจากน้ำดื่มที่ห้ามขายโกง่ราคานะมึง เพราะมันไม่ใช่สินค้าจำเป็นที่รัฐต้องคุมราคาเหมือนน้ำดื่ม

รัฐต้องปล่อยให้ราคามันเป็นไปตามกลไกตลาด คือถ้าโรงหนังกำหนดราคาไว้เท่านี้แล้วยังขายได้

ก็เป็นสิทธิของมันที่จะตั้งราคาขนมน้ำอัดลมแพงหูฉี่ ถ้าผู้บริโภคอย่างเราๆรับไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้บริการ เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง

ขอแค่มันแปะป้ายราคาสินค้าให้ชัดเจน ให้ผู้บริโภคได้ตัดสินใจก่อนเลือกซื้อก็พอแล้ว

■

และโรงหนังก็มีสิทธิที่จะกำหนดเงือนไขในการให้บริการในพื้นที่ของเขา

ถ้าเขาตั้งกฏว่า มึงห้ามเอาขนมน้ำอัดลมจากที่อื่นเข้ามาในนี้นะ เป็นเงื่อนไขในการให้บริการของกู

เมื่อผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังแล้ว แปลว่ามึงยอมรับเงื่อนไขของเขาก็ได้ ก็ก้มหน้ารับสภาพกันไป

แต่การที่โฆษณาส่งเสริมค่านิยมให้คนลักลอบขนขนมเข้าไปแดกนั้น อันนี้กรูว่าผิดเต็มๆว่ะ

ต่อให้โรงหนังมันขายขนมแพงหูฉี่ขนาดไหน แต่ประเด็นที่มันขายแพงหูฉี่

ก็ไม่ทำให้การส่งเสริมค่านิยมผิดๆในคลิปนี้กลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องขึ้นมาได้หรอกนะ

ยกเว้นแต่ว่า สังคมไทยจะวิปริตผิดเพี้ยนถึงขั้นมองว่า การทำผิด เพราะอีกฝ่ายทำไม่ถูกใจตัวเอง เป็นเรื่องที่ถูกต้อง

■

ชาวพันทิปก็เถียงรัวๆว่าไอ้ที่มึงบอกว่าธุรกิจต้องแสวงหากำไรมันถูกต้อง แต่มึงต้องแสวงหากำไรอย่างมีธรรมาภิบาลสิวะ

จากนั้นชาวพันทิปก็เถียงกันรัวๆในสองประเด็นว่า การที่โรงหนังตั้งราคาขนมน้ำอัดลมแพงหูฉี่

และห้ามมิให้ลูกค้าเอาขนมน้ำอัดลมที่ซื้อจากข้างนอกเข้าไปแดกในโรง มันถูกต้องแล้วหรือไม่

ถ้ามันไม่ถูกต้อง แล้วผู้บริโภค สมควรที่จะก้มหน้าก้มตาทำตามกฏ หรือเลิกใช้บริการมันซะ

หรือควรทำอย่างในโฆษณา คือแอบเอาขนมเข้าไปแดกในโรงแม่งเลย กันแน่

แต่สำหรับท่านที่ต้องการให้ สคบ เข้าไปตรวจสอบการตั้งราคาขนมของโรงหนังเนี่ย

ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครัช เพราะ สคบ เคยเข้าไปตรวจสอบเมื่อสองปีก่อนแล้ว

ผลปรากฏว่า สคบ ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงราคาของขนมน้ำอัดลมหน้าโรงหนังได้ว่ะ

■

แถม สคบ ยังบอกอีกว่า ที่ขนม น้ำอัดลมป๊อบคอร์นหน้าโรงหนังแพงหูฉี่ขนาดนั้น

เพราะเขาใช้ข้าวโพดน้ำเข้า (จากดาวอังคารเหรอวะ) มาคั่วเป็นป๊อบคอร์นแสนอร่อย

ให้ผู้บริโภคได้แดกกันเชียวนะมึง!! ราคาก็เลยสูงเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดา!!

■

เดบิท http://movie.sanook.com/…/

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร กรูคั่วป๊อบคอร์นแดกพลางดูบลูเรย์ที่บ้านพลางดีกว่ามั้ย

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้นี้โดยพลัน!!

http://pantip.com/…/33999055 

https://www.facebook.com/…/

■

เดบิทภาพประกอบจาก http://clip.truelife.com/…/3063882

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เพจของเครือข่ายงดเหล้า เขาลงภาพเสนอไอเดียประมาณว่า

ถ้าพวกที่กินเหล้ามันอ้างสิทธิส่วนบุคคลในการดื่มเหล้า ไอ้พวกนี้ถ้าเกิดมันเจ็บป่วยขึ้นมา

ก็ไม่ควรจะได้รับสวัสดิการประกันสุขภาพในการรักษาโรค เพราะเงินที่เอามารักษามึง

มันเป็นเงินภาษีของคนส่วนรวม ดังนั้นถ้าเมิงอ้างสิทธิส่วนบุคคลในการกินเหล้าได้

ก็ควรใช้เงินส่วนตัวในการรักษาโรคของตัวเองที่เกิดจากเหล้าดิวะ

■

■

คนที่ดื่มเหล้าเห็นแนวคิดนี้เข้าก็ไม่พอใจ บ่นว่า เวลากรูแดกเหล้าแดกเบียร์ กรูก็จ่ายภาษีเหมือนกันนะมึง

■

■

ถ้าไม่ให้พวกกรูมีสิทธิรักษา แล้วกรูจะเสียภาษีเหล้าให้สรรพสามิตทำไมวะ กรูเก็บไว้รักษาตัวเองไม่ดีกว่าเรอะ

■

ชาวเน็ทที่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าใครแดกเหล้าก็ไม่ต้องรับสิทธิประกันสุขภาพ

ก็แสดงความเห็นว่าก็ถูกแล้วนะ ถ้าเป็นโรคที่เกิดจากการทำตัวเองโดยการดื่มเหล้า

ก็ควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วยตัวเอง อาจจะไม่ต้องจ่ายทั้งหมดก็ได้

แต่อย่างน้อยก็ควรร่วมจ่ายบ้างซัก 20-30% ก็ได้

■

เรามากำหนดกันแบบนี้เลยดีกว่า ถ้าสมมุติว่าคนไหนที่มันป่วยจากเหล้าจริงๆ

เช่น คนเป็นตับแข็งที่ยืนยันแล้วว่า ไม่ได้ป่วยจากไวรัสตับบี หรือสาเหตุอื่นๆ

มาจากเหล้าล้วนๆ ก็ให้มันจ่ายค่ารักษาตัวเองไปเลยดีมั้ย

■

คนที่ไม่เห็นด้วยก็แย้งว่าไม่ดีเว้ย ไอ้พวกที่แดกเหล้ามันก็ประชาชนคนนึงเหมือนกัน

เงินที่เอามารักษามันก็เป็นภาษีจากประชาชนที่มันมีส่วนร่วมเหมือนกันนะ

อย่าว่าแต่ค่ารักษาเลย ไอ้งบประชาสัมพันธ์ที่หน่วยงานต่างๆเอามารณรงค์ให้เลิกเหล้า

มันก็เอามาจากภาษีเหล้าตั้งเยอะแยะ

■

ถ้าคนดื่มเหล้ามันเจ็บป่วยเพราะแดกเหล้า เท่ากับมึงรนหาที่เอง ไม่ควรได้รับสิทธิในการรักษา

แล้วไอ้พวกที่ไปวิ่งออกกำลังกายจนขาแพลงล่ะ ไอ้พวกนี้ก็ไม่ควรได้สิทธิในการรักษาเหมือนกันใช่มะ

เพราะพวกแม่งรนหาที่ไปวิ่งออกกำลังกายเองทำไม ถ้ามึงนอนแดกเบียร์อยู่กับบ้านก็ไม่ต้องขาแพลงแล้ว

■

■

ถ้ามึงใช้เหตุผลนี้ในการงดให้สิทธิในการรักษากับคนแดกเหล้า กรูว่าคงไม่มีใครได้รับสิทธิในการรักษาซักคน

เช่น ไอ้พวกเป็นหวัด มึงรนหาที่ไปวิ่งตากฝนเองทำไม ไอ้พวกที่ไขมันในเลือดสูง พวกมึงเสือกแดกของมันๆทำไม

ในเมื่อพวกมึงรนหาที่เอง มีเงินซื้อของมันส์ๆเลี่ยนๆมาแดกเอง พวกมึงก็ควรจะจ่ายค่ารักษาตัวเองด้วยใช่ป้ะ

■

■

มีชาวเน็ทแย้งว่าคนที่เป็นหวัดมันป้องกันไม่ได้นะยะ บางทีฝนตกมันก็ต้องโดนกันบ้าง

จะไม่ให้โดนฟ้าโดนฝนบ้างเลยมันเป็นไปไม่ได้ อาหารการกินก็เหมือนกัน

ถ้าไม่กินอาหาร กุตาย แต่ถ้ากุไม่แดกเหล้า กุไม่ตายนี่ยะ

■

■

คนกินเหล้าก็ตอบว่ามึงแดกอาหาร แต่มึงเลี่ยงไม่แดกของมันส์ๆเลี่ยนๆ มึงก็ไม่ตายนี่หว่า

ไอ้พวกที่รู้ทั้งรู้ว่ากินของมันๆหวานๆเค็มๆ แล้วเสี่ยงจะเป็นโรค มันก็เหมือนกับคนกินเหล้านั่นแหละ

■

นักดื่มคนนึงกล่าวว่า กุล่ะเบื่อแคมเปญแนวนี้ฉิบหาย รู้ไหมว่าแคมเปญรณรงค์ให้เลิกเหล้า

มันก็เอามาจากภาษีเหล้าที่พวกกรูแดกกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนดื่มเหล้าอย่างพวกกรูนี่แหละ

ที่จ่ายภาษีให้รัฐเยอะเป็นพิเศษ แล้วมึงจะมาริบสวัสดิการพื้นฐานไปจากพวกกรูได้ยังไง

■

การที่มึงไม่กินเหล้า ไม่ได้แปลว่ามึงดีเด่กว่าคนอื่นๆในสังคมนะเว้ย มึงเสียภาษี

คนที่แดกเหล้ามันก็เสียภาษีเหมือนกัน แถมยังเสียภาษีมากกว่ามึงด้วยซ้ำ

■

■

มีคนเสนอว่า ก็เอาภาษีเหล้าไปรักษาพวกที่ป่วยเพราะเหล้าสิคะ

■

ชาวเน็ทก็ถามความเห็นนี้ว่า รัฐต้องเก็บภาษีเหล้ามากกว่าเดิมอีกกี่สิบเท่าล่ะถึงจะพอค่ารักษา

■

นักดื่มก็โพล่งขึ้นมาว่าแล้วที่มึงบอกว่าต้องเก็บอีกหลายสิบเท่าถึงจะพออ่ะ ไปเอาข้อมูลมาจากไหนวะ

■

ชาวเน็ทตอบว่ามึงจะไปรู้อะไร๊ ทุกวันนี้คนที่กินเหล้าจนตับแข็ง และมีหลอดเลือดในหลอดอาหารโป่งพอง

จนอ้วกมาเป็นเลือดรัวๆน่ะ มันมีอยู่ในประเทศไทยเยอะมาก และค่ารักษาแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อยๆ

มั่นใจว่าต่อให้มึงขูดรีดภาษีเหล้าจนคนแดกหมดตัว มึงก็รักษาคนพวกนี้ได้ไม่หมดหรอกนะ

■

นักดื่มก็แย้งว่าไม่จริง ภาษีเหล้าที่รัฐเก็บจากพวกกรูเนี่ย มันน่าจะพอกับการรักษาคนที่ป่วยเพราะเหล้าอย่างแน่นอน

■

ชาวเน็ทตอบว่า ไม่พอว่ะ มึงรู้มั้ยว่าการดื่มเหล้ามันทำให้เกิดโรคอะไรบ้าง ไหนจะตับแข็ง มะเร็งตับ

ถ้าตับแข็งจนมีหลอดเลือดในทางเดินอาหารโป่งพอง วันดีคืนดีอ้วกเป็นเลือดรัวๆ

พอหามส่ง รพ ค่ารักษาหนนึงก็หลายหมื่น ถึงหลักแสน หลักล้าน

บางคนกินเหล้าทุกวันวันละหลายกลม จู่ๆวันนึงนึกครึ้มอยากเลิกเหล้า ก็หยุดเอาดื้อๆ

สุดท้ายเกิดอาการลงแดก ชัก เพ้อ ต้องเข้า รพ เสียค่ารักษากันตั้งเท่าไหร่

ไหนจะไอ้พวกที่เมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ ชนคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอีกตั้งมากมาย

พวกนี้สร้างความเสียหายตั้งแต่หลักล้านถึงประเมินค่ามิได้

อย่าว่าแต่ภาษีเหล้าเล้ย ต่อให้มึงเอาภาษีด้านอื่นมาโปะก็ไม่มีทางพอร้อกกกกก

เอาง่ายๆ ถ้าพวกมึงมีปัญญาซื้อเหล้าแดก เจ็บป่วยขึ้นมาก็ไป รพ เอกชนสิวะ มีปัญญาจ่ายอยู่แล้วไม่ใช่รึไง

■

■

■

บรรดานักดื่มก็ไม่พอใจ ถามว่าคนที่ดื่มเหล้ามันจำเป็นต้องเจ็บป่วยอย่างที่มึงพูดมาทุกคนเลยรึไงวะ

■

■

ไอ้พวกที่บอกว่าภาษีเหล้าไม่พอเอาไปรักษาอ่ะ มึงคิดว่าคนแดกเหล้าร้อยคนต้องป่วยตับแข็งร้อยคนเลยเหรอวะไอ้หน้าโง่

พวกกรูแดกเพื่อให้เลือดลมสูบฉีดโว้ย ไม่ถึงขั้นป่วยตับแข็งร้อกกกกก

■

ชาวเน็ทคนนึงบอกว่า ถ้าคนไทยมันดื่มเหล้าแบบผู้เจริญแล้ว คือจิบวันละนิดๆหน่อยๆ

อันนั้นน่ะ ยังพอบอกว่าอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ แต่มึงช่วยแหกขี้ตาดูความเป็นจริงด้วย

ทุกวันนี้คนไทยแม่งแดกเหล้ากันฉิบหายวายป่วง แถมยังแดกจนเมาแล้วขับรถอีก

จนเมืองไทยมีเทศกาลพิเศษอย่าง “เจ็ดวันอันตราย” วันหยุดยาวทีไรมีเมาแล้วขับตายโหงตายห่ากันไม่เว้น

หรือต่อให้ไม่ใช่เทศกาลหยุดยาว คนไทยก็แดกเหล้าเป็นน้ำจนโรคภัยถามหามากมายอยู่ดี

■

ไอ้พวกนักดื่มทั้งหลาย พวกมึงอย่าคิดแต่ว่ากูก็จ่ายภาษี ดังนั้นกรูมีสิทธิที่จะดื่มแล้วใช้สิทธิประกันสุขภาพให้เต็มที่

หลักการของสิทธิประกันสุขภาพคือรักษาพวกมึงยามเจ็บป่วย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องส่งเสริมด้านสุขภาพ

ป้องกันไม่ให้พวกมึงเกิดโรคด้วยถึงจะดีที่สุด ถ้ามึงคิดแต่ว่ารักษาฟรีนี่ เจ็บป่วยขึ้นมาก็ไม่ต้องเสียเงินซักบาท

แล้วก็แดกเหล้าแบบยัดห่ากันต่อไป พอถึงเวลาก็ใช้ภาษีประชาชนในการรักษา แบบนั้นประเทศชาติได้หมดตูดแน่

■

หลังจากนั้นฝั่งนักดื่มกับชาวเน็ทที่สนับสนุนให้คนกินเหล้าจ่ายค่ารักษาพยาบาลตัวเองก็ดราม่ากันรัวๆ

น่าเสีบดายที่เพจเครือข่ายงดเหล้ามันลบสเตตัสนี้ไปแล้ว น่าเสียดายนะประเด็นน่าสนใจแท้ๆ

ดราม่านี้ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับภาษีเหล้าเบียร์กับความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประเทศชาติในด้านการเงิน

รัฐจัดเก็บภาษีเหล้าเบียร์ปีนึงก็หลายหมื่นล้านอยู่ เช่น ช่วงปี 49 นี่จัดเก็บได้ประมาณเจ็ดหมื่นกว่าล้านจากเหล้าและเบียร์

■

เดบิท http://thaipublica.org/…/

แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาตินั้น เมื่อรวมจากทั้งทางตรง คือค่ารักษาคนที่ป่วยเพราะเหล้า

เช่น ตับแข็ง เลือดออกในทางเดินอาหาร มะเร็งตับ ลงแดง ป่วยทางจิตเพราะเหล้า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ

รวมๆกับความเสียหายทางอ้อม เช่น การสูญเสียแรงงาน สูญเสียต้นทุนในการผลิต สูญเสียสมรรถภาพในการทำงานเพราะเหล้าเบียร์

รวมทั้งหมดทั้งสิ้น อยู่ที่ หนึ่งแสนห้าหมื่นกว่าล้านบาท มากกว่าภาษีที่เราเก็บได้ถึงสองเท่าตัว

■

เดบิท http://www.thaiantialcohol.com/…/51b56305406bf.pdf

ดังนั้นถามว่าเรามีทางเก็บภาษีให้พอกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการแดกเหล้าแดกเบียร์มั้ย

ถ้าลองปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตรสำหรับเหล้าเบียร์ (และบุหรี่) เพิ่มจากเดิมอีกซักเท่าตัว อาจจะพอก็ได้นะ (ฮา)

อนึ่ง ภาษีที่ สสส เอามารณรงค์ให้เลิกเหล้านั้น จะได้รับการจัดสรร2% จากภาษีเหล้าและยาสูบในแต่ละปี

ถ้าเทียบของปี 49 ก็จะอยู่ที่ประมาณสองพันกว่าล้านบาท

■

เดบิท http://thaipublica.org/…/

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร พ่อแม่พี่น้องคิดว่าคนที่เจ็บป่วยเพราะการกินเหล้า

ควรจะรับผิดชอบค่ารักษาโรคตับแข็ง โรคสารพัดที่เกิดจากสุราด้วยตัวเองหรือไม่

พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน!!

https://www.facebook.com/…/?…

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เว้บพันทิป มีอมยิ้มคนนึงตั้งกระทู้เตือนพ่อแม่ที่คิดจะพาลูกเต้าไปดูหนังเรื่อง Ted 2 ว่า

หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังเด็กนะคะ เห็นมีพ่อแม่พาลูกเต้าไปดูหนังเรื่องนี้กันเยอะเหลือเกิน

ทั้งๆที่เนื้อหาในหนังแต่ละอย่างนี่แม่งโคตรจะเหมาะสมกับเด็กเลยเนอะ หมีขี้เย็ดงี้ หมีดูดปุ้นงี้

■■

แล้วไอ้หมีเท็ดนี่ คำก็เย็ด สองคำก็เย็ด พาลูกเต้าไปดูหนังระวังลูกจะติดคำว่าเย็ดนะคะ เห็นมันพูดคำนี้ในหนังซักร้อยหนเห็นจะได้

ขอร้องล่ะพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลาย ก่อนจะพาลูกไปดูหนังเรื่องไหนช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นซักนิดจะได้มั้ย

■

ชาวพันทิปก็เห็นด้วยว่าเท็ดมันไม่ใช่หนังเด็กเลยซักนิด พ่อแม่อย่าคิดว่าหนังมีตุ๊กตาเป็นตัวเอก

แล้วมันจะกลายเป็นหนังสำหรับเด็กไปเสียทุกเรื่องนะเว้ย

■

ชาวพันทิปที่เห็นด้วยก็ด่าพ่อแม่กันตรึมว่าก่อนซื้อตั๋วหนัง เมิงเคยดูตัวอย่างหนังมั่งมั้ยวะ

เท็ด2นี่แม่งก็แปะป้ายไว้ตัวเบ้งๆว่า เรท 18+ พ่อแม่ไม่คิดจะดูข้อมูลก่อนพาลูกไปดูหนังมั่งเลยเหรอ

■■

■

มีคนแก้ตัวแทนพ่อแม่ว่า พ่อแม่ที่พาลูกไปดูเท็ด2เนี่ย บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนที่รักการดูหนังอะไรหรอกนะ

แค่อยากพาลูกไปดูหนังในวันหยุดเท่านั้นเอง เขาไม่สนใจหรอกว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ได้เรทอะไร

แค่เห็นหน้าหนังมีตุ๊กตาหมีตัวบะเริ่ม เขาก็นึกว่า ฮั่นแน่ หนังเด็กแน่ๆ พาลูกไปดูดีกว่าว่ะ

■

อมยิ้มที่ไม่ดูตัวอย่างหนังก่อนตีตั๋วเข้าไปดูเท็ด2 ก็ยืนยันว่าคนที่เข้าไปดูหนังแบบไม่รู้4รู้8อะไรเลยมันมีจริงๆนะ

■

ไอ้คนที่ดูหนังแบบไม่สนใจหน้าหนังอ่ะไม่แปลกหรอก แต่ไอ้คนทำหนังเรื่องนี้ต่างหากที่โคตรแปลก

มันต้องการสื่ออะไรไม่ทราบวะ เล่นเอาตุ๊กตาหมีน่ารักๆมาทำซะเสื่อมหมด

ถ้ารูปร่างหน้าตามันไม่ใช่ตุ๊กตาหมี ไอ้เท็ดนี่มันก็ผู้ชายวัยฉกรรจ์หื่นกามขี้ยาคนนึงนี่เอง

แต่เสือกทำหน้าหนังซะน่ารัก จนกรูนึกว่าเป็นหนังการ์ตูนหมีแสนรู้สำหรับเด็กและเยาวชนเลยเนอะ

■

ชาวพันทิปตอบว่า ผู้กำกับเขาก็ตั้งเป้าไว้แต่ต้นแล้วไงว่าจะทำหนังตลกเสียดสี

เพื่อดักควายไอ้พวกที่หลงเชื่อว่าตุ๊กตาหมีต้องเป็นของน่ารักสำหรับเด็กๆเท่านั้นอย่างมึงนี่แหละ

■

และประเด็นเสียดสีของหนังเรื่องนี้มันค่อนข้างซีเรียสนะ มึงลองนึกตามสิ สมมุติว่าตุ๊กตาที่มึงชื่นชอบในวัยเด็ก

จู่ๆมันเกิดมีชีวิตขึ้นมา แล้วเติบโตมาพร้อมๆกับเรา ไอ้ตุ๊กตาตัวนั้นมันจะกลายเป็นยังไงเมื่อมันอายุมากขึ้น

และมันจะทำยังไงเมื่อวันนึงเจ้าของมันที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน ต้องแยกย้ายไปมีชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน

■

ไอ้พวกที่พาลูกไปดูหนังเรื่องนี้ เว่ากันซื้อๆคือพวกมึงโดนหน้าหนังดักควายนั่นแหละ

แต่ถึงเนื้อหามันไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน แต่เราจะปิดกั้นไม่ให้เด็กดูทำไมล่ะ

ในเมื่อซักวันนึงเด็กมันย่อมต้องเจอกับสิ่งที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้อยู่ดี

■

ชาวพันทิปก็แย้งว่าพวกกรูไม่ได้ปิดกั้นไม่ให้เด็กรู้เรื่องพวกนี้นะ แต่มันต้องรู้ให้เหมาะสมกับวัย

ไม่ใช่มึงเอาเด็กสี่ห้าขวบเข้าโรงหนังไปดูหมีพี้ยางี้ ไปดูหมีชักว่าวงี้  ถ้

าเด็กมันสงสัยว่าการชักว่าวหรือเย็ดกันคืออะไร จะให้พ่อแม่มันทำไงล่ะวะ

■

อมยิ้มคนที่สนับสนุนให้เปิดกว้างและพาลูกหลานไปดูเท็ด 2 ก็ตอบว่าถ้าเด็กมันสงสัยอะไร

มึงก็สอนมันไปเลยเซ่ แล้วสอนไปด้วยว่าที่ไอ้หมีเท็ดทำมันดีหรือไม่ดี

เด็กมันจะได้เรียนรู้ไว้ว่าอันไหนควรทำตามอันไหนควรหลีกเลี่ยงไง

■

สรุปว่า มึงอย่าไปโทษหนังเลย ถ้าจะโทษ ก็โทษพ่อแม่ดีกว่าว่าเสือกพาลูกเข้าโรงไปดูหนังเรื่องนี้ได้ยังไง

ยุคนี้แล้ว จะพาลูกไปดูหนังเรื่องไหนอย่างน้อยก็สมควรจะศึกษาเนื้อหาของหนังเรื่องนั้นและเรทของหนังบ้าง

ไม่ใช่เอะอะก็โทษชาวบ้านลูกเดียว เป็นถึงพ่อแม่คนแล้ว ควรเลี้ยงลูกอย่างฉลาดๆนะ ไอ้เรื่องโง่ๆแบบนี้กุขอล่ะ เลิกซักทีเหอะ

อย่ามาอ้างว่าไม่มีเวลาศึกษาหาข้อมูลเชียวนะ ขนาดเวลาซื้ออาหารให้ลูกกิน มึงยังเลือกซื้ออาหารคนได้

โดยไม่หลงไปซื้ออาหารหมาให้ลูกมึงแดก อย่างน้อยมึงก็ควรจะมีสติปัญญาพอจะหาข้อมูลของหนังก่อนพาลูกเข้าไปดูว่ะ

■

■

อมยิ้มคนนึงก็เสนอว่า เอางี้ดีกว่าว่ะ เราให้เจ้าหน้าที่ของโรงหนัง ช่วยเตือนพ่อแม่อีกแรงนึงดีมั้ย

ว่าหนังเรื่องนี้เรทเท่านี้นะ ไม่ควรพาเด็กเล็กๆเข้าไปดูนะ แล้วห้ามไม่ให้พาเด็กเล็กๆเข้าไปดู

ถ้าโรงหนังช่วยกันคนละไม้คนละมือ  กุว่าปัญหาพ่อแม่พาลูกไปดูหนังไม่เหมาะสมกับวัยคงลดไปได้เยอะว่ะ

■

ชาวพันทิปที่ไม่เห็นด้วยแย้งว่า มันไม่ใช่หน้าที่ของโรงหนังนี่หว่า การกำหนดเรทของหนัง

มันมีไว้เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นคนพิจารณา ไม่ได้แปลว่าทางโรงหนังมีสิทธิห้ามไม่ให้เด็กดู

ถ้าพ่อแม่มันรับทราบแล้วว่าหนังเรื่องนี้เรท 18+ แต่ยังอยากพาลูกเข้าไปดู โรงหนังก็ไม่มีสิทธิห้ามว่ะ

สรุป โรงหนังจะทำไงก็ไม่ช่วยหรอก มันขึ้นอยู่กับคุณภาพของพ่อแม่ผู้ปกครองล้วนๆ

■

จากนั้นชาวพันทิปก็เถียงกันว่าใครกันแน่ที่ควรเป็นคนรับผิดชอบพิจารณาเรื่องเรทของหนังที่เหมาะสมกับเด็ก

บ้างก็บอกว่า มันไม่ใช่หน้าที่ของผู้ปกครองฝ่ายเดียวนะ โรงหนังเองก็ควรจะแนะนำผู้ปกครองด้วยดิ

■

บ้างก็บอกว่า ผู้ปกครองนั่นล่ะผิดเต็มๆ ถ้าผู้ปกครองไม่พิจารณาแล้วจะให้ใครทำวะ

เจ้าหน้าที่โรงหนัง? ถ้าตอนผู้ปกครองซื้อตั๋วดูหนังมันไม่พาลูกไปต่อแถวด้วย จนท เขาจะรู้มั้ยวะ

■

ฝั่งที่บอกให้โรงหนังร่วมรับผิดชอบด้วยก็แย้งว่าถ้าผู้ปกครองมันไม่พาลูกไปต่อแถวซื้อตั๋วด้วย

ก็ให้เจ้าหน้าที่โรงหนังมันบอกลูกค้าทุกครั้งว่าหนังเรื่องนี้เรท 18+ มีฉากที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก แค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว

ถ้าทางโรงหนังมันมีกะใจจะช่วยกันจริงๆ ก็คงลดโอกาสที่ผู้ปกครองจะพาลูกไปดูหนังแบบไม่รู้4รู้8อะไรได้เยอะเลยแหละ

■

ผู้ปกครองอ่ะ บางทีเขาก็ไม่มีเวลาหาข้อมูลหรือกระทู้รีวิวหนังเรื่องนั้นมาอ่านก่อนพาลูกไปดูหรอกนะ

ดังนั้นงานนี้จึงเป็นความรับผิดชอบของโรงหนัง ที่มึงต้องประกาศให้ผู้ปกครองเห็นอย่างชัดเจนว่าหนังเรื่องนี้เรทอะไร

■

อมยิ้มอีกคนก็เสนอแนะว่าแค่ประกาศเรทมันไม่พอหรอก มันต้องติดป้ายตัวเบ้งๆเลย

ว่าหนังเรื่องนี้ควรพาลูกเล็กๆเข้าไปชมหรือไม่ เพราะประเทศนี้ พ่อแม่ด้อยคุณภาพมันเยอะ

ไอ้พวกนี้อย่าว่าแต่เรื่องเด็กวัยไหนควรดูหนังเรทอะไรเรท เรทหนังคืออะไร เผลอๆมันยังไม่รู้เลยมั้ง

■

■

ฝั่งที่ยืนกรานว่าเป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ผู้ปกครองก็ยืนยันว่ามันเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ดิวะ

ที่ต้องหาข้อมูลหนังก่อนพาลูกเข้าไปดู กะอีแค่กูเกิ้ลแป้บเดียวมันจะยากเย็นอะไร

มึงเล่นไลน์ แชทในเฟซบุ๊คยังเปลืองเวลากว่านั้นตั้งเยอะแยะ หรือพวกมึงมีปัญญาปั๊มลูก

แต่กะอีแค่หาข้อมูลเกี่ยวกับหนังในเน็ทแค่นิดเดียวกลับไม่มีปัญญาวะ

■

■

อมยิ้มคนนึงชื่อ น้องปาย ไม่พอใจชาวพันทิปว่าทำไมพวกมึงถึงต้องด่าพ่อแม่ผู้ปกครองกันซะขนาดนี้วะ

ทำยังกับว่าพวกเขาทำผิดร้ายแรงยังกับว่าเขาพาลูกไปแดกเหล้าเข้าผับพี้ยาเลยเนอะ

ทั้งๆที่เขาก็แค่พาลูกไปดูหนังที่ไม่เหมาะกับวัยก็เท่านั้นเอง พ่อแม่หลายๆคนอาจจะไม่ฉลาดเท่าพวกมึง

แต่เขาอาจจะไปอธิบายให้ลูกฟังทีหลังก็ได้ว่าที่ดูในโรงมันไม่เหมาะสมยังไง ส่วนไอ้พวกที่เสือกไปวิจารณ์พ่อแม่ผู้ปกครองอะ

พวกมึงเคยมีลูกแล้วหรือยัง ถ้ามี ก็ไปอบรมสั่งสอนลูกมึงให้ดีเหอะ อย่าไปเสือกกับลูกของชาวบ้านเลยจะดีกว่า

■

■

ชาวพันทิปตอบว่า กรูมีลูกสามแล้วว่ะ แล้วคนที่ตำหนิพ่อแม่ที่พาลูกตัวเล็กๆไปดูเท็ด 2 มันก็ถูกต้องแล้วนี่

คนเป็นพ่อแม่ควรจะมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่หาเหตุผลมั่วซั่วมาเป็นข้ออ้างให้กับความชุ่ยของตัวเอง

■

น้องปายก็สวนกลับว่ารับผิดชอบห่าอะไรล่ะ พ่อแม่เขารับผิดชอบลูกไปตลอดทั้งชีวิตไม่ได้หรอกนะ

อย่างเวลามึงเป็นวัยรุ่น พ่อแม่ตามมาคุมมึงตลอดเวลาว่าห้ามกินเหล้า ห้ามเที่ยวกลางคืน ห้ามสูบบุหรี่มั้ยล่ะ

พ่อแม่เขาก็ดูแลลูกตามที่เขาคิดว่าดีที่สุดของเขาแล้ว ถ้าเขาตัดสินใจจะพาลูกเข้าไปดูฉากพี้ยา หรือฉากปี้กันในหนัง

ถ้าลูกเขาไม่ส่งเสียงร้องเอะอะตึงตังในโรง มันก็เป็นสิทธิของเขาที่จะพาลูกไปดูหนังไม่ใช่เหรอวะ

แล้วกะอีแค่หนังเรื่องนึงมันจะส่งผลกระทบกับเด็กมากมายมหาศาลอย่างที่พวกมึงว่ามาได้ไง เว่อร์ไปเปล่า

กะอีแค่ดูหนังที่มีฉากเย็ด ฉากชักว่าว ฉากพี้ยา มันคงไม่ทำให้เด็กคนนึงโตขึ้นมาเป็นคนชั่วคนเลวของสังคมหรอกมั้ง

■

ชาวพันทิปก็ตอบว่า เออ พ่อแม่รับผิดชอบลูกไปตลอดชีวิตไม่ได้ก็จริง แต่มันเกี่ยวห่าอะไรกับกระทู้นี้ไม่ทราบวะ

พวกกรูกำลังพูดถึงประเด็นที่ว่าพ่อแม่พาลูกมาดูหนังที่ไม่เหมาะกับวัย ในเมื่อพ่อแม่เป็นคนพามา

ถ้าพ่อแม่ไม่รับผิดชอบ แล้วมึงจะให้หมาแมวที่ไหนมาเป็นคนรับผิดชอบวะ

อ้อ หรือมึงอยากให้พ่อแม่พาลูกอายุไม่กี่ขวบไปดูหนังแล้วบอกให้ลูกตัดสินใจเลือกดูหนังเอาเอง

พวกกรูไม่เกี่ยว แต่ถ้าลูกเลือกพลาดไปเลือกหนังโหดๆหรือหนังที่มีฉากเย็ด

ก็ถือเป็นความผิดของลูกเองนะจ๊ะ พ่อแม่ไม่ผิด ชะละล่า งั้นเหรอวะ

■

■

หลังจากนั้นชาวพันทิปก็เถียงกันรัวๆว่าหน้าที่ในการเลือกหนังให้เด็กดู มันควรจะเป็นหน้าที่ของพ่อแม่หรือเป็นของโรงหนังกันแน่

แต่ขอเตือนพ่อแม่พี่น้องว่า อย่าตัดสินหนังจากชื่อ โปสเตอร์หรือหน้าหนังเป็นอันขาด  โดยเฉพาะชื่อหนังภาษาไทย

เพราะหนังดักควายที่ชื่อภาษาไทยโคตรน่ารัก แต่เนื้อหาข้างในแบบว่า…. เรามีเยอะแล้ว

ยกตัวอย่างที่แจ่มที่สุดคงหนีไม่พ้นหนังเรื่องนี้ ใครอยากรู้ว่าข้างในเป็นยังไง

ก็ลองไปซื้อแผ่น DVD แล้วเปิดให้ลูกวัยห้าหกขวบดูกันเอาเองก็แล้วกัน!!

ถ้าลูกดูจบแล้วนอนไม่หลับนอนขวัญผวาก็อย่ามาโทษกันนะเว้ย!!

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร มีพ่อแม่คนไหนหลงพาลูกไปดูหนังเรื่อง ปรสิต เพื่อนรักเขมือบโลก

เพราะเห็นชื่อหนังแล้วนึกว่าเป็นหนังน่ารักๆสำหรับเด็กมั่งรึเปล่าวะ

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้นี้โดยพลัน!!

http://pantip.com/…/33974284

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เว็บพันทิปครับ มีอมยิ้มคนนึงมาตั้งกระทู้บอกว่า

วันนี้กระโผมจะพาทุกท่านไปดูคนที่สามารถ หุงปรอทให้กลายเป็นทอง ได้นะครัช

■

■■

ชาวพันทิปก็ถามด้วยความไม่เชื่อหูว่า จริงดิ มึงเปลี่ยนปรอทเป็นทองคำได้จริงอะ

■

จขกท ก็ยืนยันว่าได้จริงๆ

■

ชาวพันทิปที่ยังติดใจก็บอกว่ามึงพูดเป็นเล่นน่า ปรอทมันจะเปลี่ยนเป็นทองคำได้ไงวะ

■

จขกท ก็เอาภาพกระบวนการหุงปรอทที่แกภูมิใจนักหนามาโพสให้ดู

แล้วเกทับชาวพันทิปว่า มึงรอดูให้ถึงตอนจบแล้วมึงจะเห็นเองว่ามันเปลี่ยนเป็นทองคำได้จริงมั้ย

■

ชาวพันทิปก็เตือน จขกท ว่า ที่ จขกท เอามาโพสให้ดูมันไม่ใช่เรื่องใหม่ว่ะ

เพราะมนุษย์ใช้ปรอทในกระบวนการถลุงแร่ทองคำมาเป็นร้อยปีแล้ว

โดยเอาพวกแร่สารพัดที่ร่อนได้ มาผสมกับปรอท ให้กลายเป็น อะมัลกัม (โลหะเจือ) แล้วค่อยเอาโลหะเจือไปเผา

เพื่อให้ปรอทระเหยเป็นไอ เหลือแต่ทองคำเอาไว้ แต่วิธีการนี้เลิกใช้ไปหลายสิบปีแล้วเพราะมีอันตรายมาก

■

อมยิ้มอีกคนชื่อนายกระตุกหนวด กล่าวว่า การหุงปรอทที่ จขกท พูดถึง

มันก็คือการเล่นแร่แปรธาตุของพวกนักเล่นแร่ในสมัยก่อนนั่นแหละ

แต่ปัจจุบันนี้เรารู้แล้วว่า การเปลี่ยนธาตุจากปรอทเป็นทองคำมันเป็นไปไม่ได้

การเล่นกลหุงปรอทนี่มันมีมาตั้งแต่โบราณแล้ว มึงเอาปรอทไปผสมกับทองคำปุ๊บ

ปรอทมันจะเข้าไปจับกับทองคำแล้วเคลือบทองคำเอาไว้ แต่ถ้าเอาไฟไปลนมันก็จะกลายเป็นสีทองเหมือนเดิม

อีกทั้งการเอาปรอทไปหุงแบบนี้มันอันตรายกับคนทำมาก เพราะมันทำให้ปรอทกลายเป็นไอ

และไอปรอทก็เป็นสารที่อันตรายกับมนุษย์ว่ะ ไอ้การหุงปรอทของเอ็งอ่ะ มันหมายถึงการ สะตุปรอท รึเปล่าวะ

หรือหมายถึงการเอาปรอทไปทำเป็นเครื่องรางของขลังกันแน่

■

จขกท ก็เกทับนายกระตุกหนวดว่าเจ้าเด็กน้อยเอ๋ย โลกนี้ยังมีอะไรที่เอ็งไม่เคยเห็นอีกมากมายนัก

ถ้าเอ็งคิดว่าตัวเองรู้เยอะนัก ไหนขอกรูทดสอบความรู้เอ็งหน่อยเด๊ะว่าถ้าเราเอากรดหยดใส่ทองคำ มันจะได้ผลลัพท์เป็นยังไง

■

กระตุกหนวดก็ถามกลับว่ามึงหมายถึงกรดตัวไหนล่ะ วิธีสกัดทองคำมันมีหลายแบบ

เช่น ใช้พวกกรดลอกทอง ทำละลายทองคำแล้วค่อยเอาไปสกัดด้วยไฟฟ้า

แต่การหุงปรอทที่เอ็งยกตัวอย่างให้ดูเนี่ย มันโบราณมาก ถ้าวัดคุณภาพกันจริงๆ

มึงไปร่อนทองแถวเหมือนทอง วันนึงได้เศษทองซักวันละครึ่งกรัมยังคุ้มกว่าเลยว่ะ

■

อมยิ้มคนอื่นๆก็เพิ่มเติมข้อมูลว่า คนสมัยก่อนเวลาเขาร่อนทองกัน แล้วได้เศษทองเป็นผงๆ

เขาก็เอาปรอทนี่ล่ะ ใส่ลงไปให้มันทำปฎิกริยากับทองคำ แล้วค่อยเอาปรอทผสมทองคำ

ไปสกัดแยกเอาเฉพาะทองคำทีหลัง แต่ด้วยวิธีการนี้นี่แหละที่ทำให้มีปรอทปนเปื้อนในเหมืองทองเยอะ

หรือมึงไม่เคยได้ยินข่าวที่ว่าชาวบ้านไปร่อนทองจนได้รับสารพิษจากปรอท ป่วยกระเสาะกระแสะกันเป็นแถวๆวะ

■

จขกท ก็เถียงรัวๆว่าปรอทมันมีประโยชน์นะเว้ย มึงรู้มั้ยว่านอกจากเอาไปทำเครื่องรางของขลังแล้ว

เรายังสามารถเอาปรอทไปทำยาได้ด้วยนะมึง และอาชีพหลักๆของลุงแก ไม่ใช่การเปลี่ยนปรอทเป็นทองคำ

แต่ลุงแกทำมาหากินด้วยการหุงปรอทเป็นยารักษาโรคว่ะ

■

■

กระตุกหนวดก็บอกกับ จขกท เบาว์ๆว่า กรูน่ะรู้อยู่แล้วว่าในอดีตปรอทมันเคยเอาไปทำยาได้

ไม่งั้นกรูจะพูดเรื่องสะตุทำไมวะ สมัยก่อนคนไทยใช้ปรอทกันเยอะแยะ เช่น ใช้ปรอทเช็ดถูให้ผ้าสวยงาม

แต่ประเด็นคือ ปรอท มันมีพิษ คนไทยสมัยก่อนที่เอาปรอทไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ส่วนมากอายุไม่ยืนกันทั้งนั้น

■

■

อมยิ้มคนอื่นๆก็ช่วยกันให้ความรู้กับ จขกท ว่า ปรอท ตะกั่ว พวกนี้เป็นโลหะหนักที่มีพิษเยอะ

แต่คนไทยสมัยก่อนใช้กันแพร่หลายมาก จนกระทั่งรู้ว่ามันมีผลข้างเคียงเยอะมาก ถึงได้ลดการใช้ลง จนไม่มีการใช้เลยในปัจจุบัน

นี่ จขกท มันหลงมาจากยุคกรุงศรีอยุธยาตอนต้นรึไงวะ ถึงยังเข้าใจว่าปรอทสามารถนำมาใช้เป็นยาอยู่ได้

■

■

ส่วนการ สะตุ นั้น หมายถึง การเอาตัวยาที่มีพิษ มาทำให้พิษของตัวยานั้นลดลง เวลาเอาไปใช้จะได้ไม่อันตรายมาก

ในกรณีของปรอท จะเรียกว่า การฆ่าปรอท โดยเอาโลหะ เช่น ทองแดง ทองเหลือง เงิน ไปใส่กับปรอท

ให้ปรอทกิน (คือปรอทผสมกับโลหะพวกนั้นจนกลายเป็นโลหะเจือ) แล้วเอาผลลัพท์ที่ได้ไปทำยาต้มยาหม้อ

ซึ่งไอ้เทคนิคการ สะตุ หรือฆ่าปรอทพวกนี้ต้องใช้ความชำนาญสูง ไม่งั้นยาต้มยาหม้อที่ได้จะมีพิษรุนแรง

แทนที่จะรักษาโรค คนกินก็อาจจะตายห่าจากยาซะเอง สมัยนี้เขาเลิกใช้พวกยาหม้อที่ทำจากการสะตุกันหมดแล้ว

■

■

มีชาวพันทิปหยอก จขกท ว่าถ้าลุงในภาพเปลี่ยนปรอทเป็นทองคำได้จริง ทำไมบ้านแกดูโทรมจังวะ

■

ถ้ามันเสกปรอทให้กลายเป็นทองได้จริงๆ ลุงแกจะอยู่ในกระต๊อบโทรมๆแบบนี้เรอะ

■

จขกท ก็ด่าชาวพันทิปที่เล่นประเด็นนี้ว่าทำไมพวกมึงถึงได้คิดถึงแต่เรื่องเงินวะ จะโลภไปถึงไหน

■

ชาวพันทิปแย้งว่าพวกกรูไม่ได้โลภ แต่พวกกรูพูดไปตามหลักเหตุผล มึงก็ลองคิดตามดูสิวะ

ถ้าลุงแกสามารถเปลี่ยนปรอทเป็นทองคำได้จริงๆ ป่านนี้คงรวยเละเทะไปนานแล้ว

หรืออย่างน้อยๆ บ้านที่แกอยู่อาศัยมันก็ควรจะดูดีกว่านี้ล่ะวะ

■

อมยิ้มอีกคนก็ถาม จขกท ว่า กะอีแค่มึงเอาปรอทไปผ่านความร้อนด้วยการหุงแค่นี้

มันจะทำให้ปรอทเปลี่ยนธาตุเป็นทองคำได้ไงวะ ถ้าเอาไปทำปฎิกริยานิวเคลียร์ฟิคชั่นก็ว่าไปอย่าง

■

จขกท ตอบด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าเปลี่ยนได้สิวะ ทำไมจะเปลี่ยนธาตุไม่ได้

มันก็เหมือนเอาข้าวสารไปหุงให้เป็นข้าวสุก แล้วเอาไปทำเป็นข้าวผัดนั่นแหละ

■

ชาวพันทิปฟังเหตุผลของ จขกท แล้วก็ถึงกับกุมขมับ ถาม จขกท ว่า

มึงเอาข้าวสารไปหุงเป็นข้าวสุก แล้วเอาไปทำเป็นข้าวผัด สุดท้ายแม่งก็ยังเป็นข้าวอยู่ดี

ถ้ามึงเอาข้าวสารไปหุงแล้วออกมาเป็นพิซซ่าก็ว่าไปอย่าง ไอ้ห่า เอามาเปรียบเทียบได้ยังไง มั่วฉิบหาย

■

■

เอางี้ นี่ความรู้แบบโคตรเบสิคเลยนะ เลขอะตอม(จำนวนโปรตอน)ของเมอคิวรี่คือ 80 จำนวนโปรตอนของทองคือ 79

ถึงมันจะต่างกันแค่เลขเดียว แต่การเพิ่มจำนวนโปรตอนในนิวเคลียสของธาตุๆนึง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะเว้ย

■

จขกท ก็ย้อนถามว่าสมัยเด็กๆเรามีความเชื่อเบสิคว่าโลกกลมเหมือนกัน แล้วไม่ทราบว่า

มีใครหน้าไหนในกระทู้นี้เคยพิสูจน์ด้วยตาตัวเองว่าโลกกลมสมดังที่คนร่ำลือกันมาบ้างมั้ยล่ะ

■

ชาวพันทิปฟังแล้วก็ถึงกับร้องเหยด บ่นว่า จขกท แม่งเชื่อว่าโลกแบนเหรอวะ

นี่มึงหลุดมาจากยุคเรเนซองค์รึไง แบบนี้แม่งกุ่ไม่กลับแล้วนะเนี่ย

■

จขกท มึงเลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว การเปลี่ยนปรอทเป็นทองคำมันทำไม่ได้โว้ย

ทุกวันนี้ปรอท ราคากิโลละสี่ห้าพัน แต่ทองคำ กรัมละ พันกว่าบาท

ถ้าเปลี่ยนปรอทเป็นทองคำได้จริง คนแห่กันไปทำตั้งนานแล้วว่ะ

ต่อให้เอาปรอทซักกิโลมาเปลี่ยนเป็นทองคำให้ได้ซักสิบกรัมยังโคตรคุ้มเลยว่ะ

■

จขกท ก็เถียงว่ากรูไม่ได้เพ้อเจ้อนะสัส กล้าดียังไงมาหาว่ากรูเพ้อเจ้อ ทั้งๆที่พวกมึงไม่เคยเห็นการหุงปรอทเป็นทองกับตาตัวเอง

ว่างๆพวกมึงก็ลองออกจากในกะลา ชะโงกหัวออกมานอกหน้าจอคอมพิวเตอร์ มาหาความรู้เพิ่มเติมในชีวิตจริงกันมั่งนะเว้ย ไอ้พวกเกรียนคีย์บอร์ดทั้งหลายยยย

■

■

ชาวพันทิปถามกลับว่าพวกกรูเกรียนตรงไหน พวกกรูถกเถียงกับมึงด้วยเหตุผล ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ทุกความเห็น

ถ้าจะมีเกรียนในกระทู้นี้ กรูว่าเกรียนตัวนั้น น่าจะเป็นไอ้พวกขี้มโนที่คิดเป็นตุเป็นตะไปเองคนเดียวมากกว่าว่ะ

■

■

ถ้าเป็นเมื่อหลายร้อยปีก่อนก็ว่าไปอย่าง แต่ไอ้เรื่องการเปลี่ยนปรอทเป็นทองที่มึงอ้างเนี่ย

สมัยนี้มันกลายเป็นมุขขำขันในแวดวงวิทยาศาสตร์ไปแล้วนะเว้ย

■

นายกระตุกหนวดก็พยายามสีซอให้ จขกท ฟังว่า บ้านกรูเนี่ยเป็นช่างทองมาหลายสิบปี

ถึงทุกวันนี้ตูจะไม่ได้ทำร้านทองแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้พอจะอธิบายให้คนอย่างมึงฟังได้

การหุงปรอทเป็นทองของมึงนั้น มันไม่ใช่การเปลี่ยนปรอทเป็นทอง แต่เป็นการแยกทองคำ

ออกมาจากสารประกอบของทองคำกับปรอทต่างหาก ไม่เชื่อลองไปถามพวกช่างทองได้เลย

■

จขกท ก็หยามหยันนายกระตุกหนวดว่า บ้านมึงเป็นช่างทอง แต่ลุงของกรูแกเป็นถึงนักเล่นแร่แปรธาตุเชียวนะมึง

แปรธาตุจากปรอทเป็นทองคำอ่ะ รู้จักป่าวววววว พวกช่างทองอย่างมึงมันจะไปรู้เรื่องอะไร

ถ้าแน่จริง ตอบกรูมาสิวะ ว่าปรอทผสมกับอะไรถึงจะได้ทองแดง แล้วมึงเคยเห็นเม็ดปรอทจมน้ำปรอทมั้ยวะ

■

มึงดูโลหะในมือกรู มันหนักนิดเดียว แต่มันจมน้ำปรอทได้เว้ย เจ๋งมั้ยล่ะสัส

ถ้าแน่จริง มึงลองหาโลหะที่จมน้ำปรอทมาโชว์ให้กรูดูเป็นบุญตาหน่อยสิวะ

■

■

ชาวพันทิปก็ตอบ จขกท แทนนายกระตุกหนวดว่า มึงพูดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย

ปรอทก็คือปรอทสิวะ ทองแดงก็คือทองแดง มันเป็นคนละธาตุกันเลย

มึงจะเอาปรอทผสมธาตุอะไรมันก็ไม่มีวันออกมาเป็นทองแดงได้หรอกว่ะ

■

แล้วอะไรคือเม็ดปรอทวะ นี่มึงไม่เคยเรียนเคมีเหรอ ถึงไม่รู้ว่าปรอทมันเป็นธาตุที่มีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้องเว้ย

■

ดังนั้นไอ้ก้อนกลมๆที่มึงอ้างว่าเป็นเม็ดปรอทนั่นน่ะ ไม่มีทางที่มันจะเป็นปรอทเพียวๆอย่างแน่นอน

เพราะปรอทจะอยู่ในสภาพของแข็งได้ มันต้องอยู่ที่อุณหภูมิติดลบ อย่างน้อย 40’c

■

ส่วนเรื่องเม็ดโลหะที่จมปรอทนั้น อธิบายได้ด้วยความหนาแน่น ปรอท มีความหนาแน่น 13.53กรัม/cm^3 (น้ำ 1กรัม/cm^3)

ถือเป็นสารที่หนาแน่นมากพอตัว ถ้าเอาโลหะทั่วไปที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าโยนลงไปก็จะลอย

■

External Link

แต่โลหะหลายๆตัวที่มีความหนาแน่นสูงกว่าปรอท ถ้าใส่ลงไปก็จะจม เช่น แพลตตินั่ม ทองคำ ทังสเตน เป็นต้น

■■

ดังนั้นการที่มีโลหะจมปรอท จึงไม่ใช่เรื่องของอิทธิปาฎิหารย์แต่ประการใด

ยกตัวอย่างเช่น คลิปทดสอบเอา ทังสเตน ไปหยอดใส่ปรอท ดังในคลิปข้างล่าง

External Link

จากนัน้ชาวพันทิปก็รุมด่า จขกท กันใหญ่ว่าคนโง่นี่มันโง่จริงๆ ไอ้ห่า เรื่องเลขอะตอมนี่โคตรพื้นฐานเลยนะ

ถ้ามึงไม่เพิ่มจำนวนโปรตอน มึงจะเปลี่ยนธาตุจากปรอทเป็นทองคำได้ไงวะ ไอ้ที่มึงหุงออกมาเป็นทองได้น่ะ

เพราะมันเป็นโลหะเจือที่มีส่วนผสมเป็นทองคำอยู่แล้ว ถ้ามึงตั้งใจเรียนวิชาเคมีซักนิด

มึงคงไม่มาตั้งกระทู้ง่าวๆแบบนี้ให้พวกกรูขำเล่นหรอกนะ

■

ไอ้สัส กรูล่ะขลำ ทุกวันนี้มนุษย์ชาติก้าวหน้าถึงขั้นเตรียมไปทำเหมืองถลุงแร่บนดาวหางแล้ว

แต่ยังมีมนุษยบางตัว เชื่อเรื่องงมงายอย่างเผาปรอทเป็นทองคำอีกแหน่ะ

กรูว่ามึงเชิญนักเล่นแร่แปรธาตุในการ์ตูน มาสอนมึงสร้างโฮมุนครุส ยังจะง่ายกว่าเลยมั้ง LOL LOL

■

จขกท ก็ไม่ยอมแพ้ ด่าชาวพันทิปว่าไอ้สัส ไอ้พวกเกรียนคียบอร์ดที่ทำตัวเป็นนักวิชาผู้ทรงภูมิทั้งหลาย

กรูไม่โง่นะเว้ย คิดว่ากรูโง่จนไม่รู้ว่าปรอทไม่มีทางเปลี่ยนเป็นทองคำได้รึไงวะ ถ้ากรูโง่ขนาดนั้นก็ควายเต็มทนแล้ว

กรูรู้เว้ยว่าปรอทที่เอามาหุง มันมีทองเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย แต่วิธีการที่ลุงแกทำมันสลับซับซ้อนมาก

กว่าจะได้ทองคำออกมาเม็ดนึงลุงแกทำเป็นเดือนเลยนะเว้ย คนที่สามารถเสกปรอทให้กลายเป็นทองได้แบบลุงแกมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

■

อนึ่ง เทคนิคหุงทองในกระทู้นี้ มันก็คล้ายๆกับเทคนิคถมทอง ของช่างฝีมือแถวนครศรีธรรมราชนั่นล่ะครับ

คือช่างเขาจะเอาทองคำไปบดเป็นผงแล้วผสมกับปรอท กวนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาปรอทผสมทอง

ไปพอกตามเครื่องประดับที่ต้องการถมทอง เช่น สร้อย กำไร จากนั้นก็ใช้ความร้อนพ่นใส่จนปรอทระเหยไปหมด

วิธีการเดียวกับ จขกท เด๊ะๆ ในคลิปใช้เวลา สองนาที 5 วินาที ว่ะครับ

■

เดบิท External Link

หลังจากนั้น จขกท แม่มก็โม้เป็นคุ้งเป็นแควว่าลุงกรูเนี่ยของจริงนะเว้ย

ลุงแกสามารถเปลี่ยนปรอทให้เป็นทองคำได้ แต่ลุงแกไม่โลภไง ไม่งั้นแกรวยไปนานแล้ว

■

ทองที่ลุงแกหุงจากปรอทได้นี่โคตรเจ๋งเลยนะมึง แบบว่าศักดิ์สิทธิ์มาก คนที่ถือครองไว้ปืนยิงไม่ลั่นอ่ะ

ถือเป็นของขลังแบบที่นักเลงบ้านเราเรียกว่ามหาอุด แต่แกไม่ขายให้ใครนะ ขนาดกุขอซื้อห้าล้านแกยังไม่ยอมทำให้เลย

■

พอกระทู้ทำท่าจะกลายพันธ์กลายเป็นเรื่องเครื่องรางของขลัง ก็มีชาวพันทิปท้า จขกท ว่า

ถ้าปรอทอะไรนั่นของมึงมันมหาอุดมาก เอางี้ มึงมาทดสอบกันเลยดีกว่า

เด๋วกรูเตรียมปืนไปซักสามกระบอก แล้ววางไอ้ปรอทของมึงไว้บนเป้า

ถ้ากรูยิงไม่ลั่นทั้งสามกระบอก มึงเอาไปเลยแสนนึง เอามั้ยวะ กล้าป่าวๆๆๆๆ

■

น่าเสียดายที่ จขกท ชิ่งหนีไปซะแล้วนะครัช แถมยังด่าชาวพันทิปปในกระทู้นี้ทิ้งท้ายว่า

เพราะพวกมึงดันมาเกรียนในกระทู้กรู จนทำให้ชาวพันทิปคนอื่นๆ อดได้รับรู้เรื่องราวดีๆของลุงแก

ศาสตร์การหุงปรอทอันลี้ลับคงจะเป็นความลับต่อไปอีกนานเท่านาน เพราะความผิดของพวกมึงทั้งหมดดดดดดดดดดดด

■

ก่อนที่ดราม่านี้จะก้าวข้ามจากวิทยาศาสตร์ การเล่นแร่แปรธาตุ ไปสู่การหลอมมนุษย์และศิลานักปราชญ์ก็ขอตัดจบแต่เพียงเท่านี้

ดราม่านี้ขอปิดท้ายด้วย ข้อมูลเรื่อง Dunning Kruger effect เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาชนิดนึง

ได้รับการอธิบายโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันสองคนในปี คศ 1999 มีรายละเอียดประมาณว่า

ยิ่งคนรู้น้อยมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ

ความมั่นใจของเขาก็จะลดลง เพราะเขารู้ว่าแท้จริงแล้ว ความรู้ของเขานั้นไม่ได้เศษเสี้ยวขององค์ความรู้ทั้งหมดของมนุษยชาติเลย

■

เดบิท https://www.facebook.com/…/?…

สรุป ความโง่ที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความมั่นใจ ความเย่อหยิงยโสที่ใหญ่ยิ่ง

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร จขกท จะสามารถสร้างโฮมุนครุส และยึดครองประเทศอเมสทริสได้สำเร็จหรือไม่

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้นี้โดยพลัน!!

■

http://pantip.com/…/33960724

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าก่อนหน้านี้ซักปีนึง มีขุ่นแม่ท่านนึงพาลูกไปออกรายการทีวี

และขอเรี่ยไรเงินเพื่อรักษาลูกสาวของเขาที่เป็นโรคหายากประเภทหนึ่งในล้าน “มะเร็งเม็ดเลือดแดง”

■

■

External Link

สื่อก็นำเสนอข่าวของขุ่นแม่ท่านนี้ ประกอบกับเธอเป็นแฟนบอลทีมสุพรรณบุรีFC

พอเพื่อนๆแฟนบอลรู้ว่าลูกเธอป่วย ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ บริจาคเงินช่วยเหลือเธอบ้าง

■

ผลิตเสื้อมาขายเอารายได้มอบให้เธอบ้าง  คนดังหลายๆคนก็มาช่วยเหลือเธอ

เช่น ชัชปุยส์งี้ พี่ตูนบอดี้แสลมงี้ ธารน้ำใจหลั่งไหลไปหาขุ่นแม่เป็นอันมาก คนสุพรรณนี่น้ำใจงามจริงๆ

■

■

ทีนี้มันเริ่มดราม่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขุ่นแม่แกอัพสเตตัสบอกว่าลูกสาวป่วยไม่สบายกำลังเข้าห้องปลอดเชื้อใน รพ

■

ชาวเน็ทก็ให้กำลังใจว่าขอให้หนูน้อยหายป่วยไวๆนะ

■

ชาวเน็ทที่ติดต่อกับขุ่นแม่ก็มาเล่าให้คนอื่นๆฟังว่าน้องเขาไปรับเคมีบำบัดมา

หลังได้เคมีบำบัดก็เลยมีอาการอ่อนเพลียจนต้องแอดมินใน รพ อย่างที่เห็น

■

ระหว่างนั้นที่เว็บพันทิปก็เริ่มมีคนตั้งข้อสงสัยว่า ไอ้มะเร็งเม็ดเลือดแดงที่ว่าเนี่ย มันคือโรคอะไรวะ

เกิดมาไม่เคยได้ยิน เคยเห็นแต่มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเม็ดเลือดแดงอะไรนี่มันมีด้วยเรอะ

■

บางคนก็ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษาว่า ทำไมขุ่นแม่เขาถึงไม่แจงยอดรักษาที่เอาเงินบริจาคไปใช้มั่งเลยวะ

ค่ายาค่ารักษาก็พูดไม่ตรงกันซักหน บางครั้งบอกว่ายาเข็มละหลายหมื่น บางครั้งบอกว่ายาเข็มละครึ่งล้าน

แถมยังบอกว่าลูกสาวเป็นคนไข้ส่วนพระองค์แล้ว ถ้าเป็นคนไข้ส่วนพระองค์ ทำไมถึงยังมีค่าใช้จ่ายอีกหว่า

■

คุ้ยกันไปคุ้ยกันมา ชาวเน็ทที่เคยถามสารทุกข์สุกดิบของขุ่นแม่ก็ร้องโพล่งว่า อุ๊ยแม่ร่วง

ทำไมภาพคุณลูกที่เข้า รพ หนนี้ ถึงเหมือนกับภาพที่ขุ่นแม่เคยอัพเมื่อหลายเดือนก่อนเป๊ะๆเลยล่ะ

แล้วเพื่อนๆอีกกลุ่มนึง ที่เขาไปเยี่ยมคุณลูกถึง รพ พอไปถึง จนท เขาบอกว่าไม่มีเด็กชื่อนี้มาแอดมิทนะ นี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่

■

ขุ่นแม่ก็ยอมรับว่า ชั้นเอารูปเก่าเมื่อครั้งกระโน้นมาลงอ่ะคะ แต่กะอีแค่เอารูปเก่ามาลงแค่นี้ มันทำให้ชั้นกลายเป็นคนเลว เป็นคนไม่น่าเชื่อถือขึ้นมาทันทีเลยเหรอคะ

■

ชาวเน็ทคนเดิมตอบว่า หล่อนไม่ใช่คนเลวหรอกค่ะ หล่อนแค่เป็นคนขี้โกหกเท่านั้นเอง

■

ขุ่นแม่ก็ถามกลับว่าชั้นโกหกตรงไหนคะ

■

ชาวเน็ทสวนกลับไปว่าหล่อนก็รู้อยู่แก่ใจนี่ว่าเรื่องไหนบ้างที่โกหกประชาชนไว้

แล้วที่หล่อนโทรมาสารภาพกับชั้นว่า ลูกสาวหล่อนไม่ได้แอดมิทใน รพ ตามที่บอกไว้

แล้วขอร้องให้ชั้นช่วยไปคุยกับคนอื่นๆให้สงสารเมตตาหล่อนกับลูกอ่ะ ไปทำเองเถอะย่ะ

ปัญหาที่หล่อนสร้างไว้ ใครเรียนผูกคนๆนั้นก็ต้องเรียนแก้เองนะยะ ตอนนี้หล่อนอธิบายต่อสาธารณะชนให้ได้ก่อนเหอะ

ว่าทำไมลูกสาวหล่อนยังไม่ได้แอดมิท แต่หล่อนกลับเอามาโพสว่าเขาแอดมิทใน รพ แล้ว

■

ขุ่นแม่ชี้แจงว่า ที่ลูกสาวชั้นยังไม่ได้แอดมิท เพราะเงินชั้นยังไม่พอไง ชั้นต้องไปยืมเงินพี่คนนึงก่อน

ถึงจะเอาลูกสาวชั้นเข้าแอดมิทใน รพ เพื่อรับยา “เร่งเกร็ดเลือด” (?) ได้

■

ชาวเน็ทก็งงงันว่าอะไรคือไม่มีเงินจ่ายยาเร่งเกร็ดเลือดแล้วแอดมิทใน รพ ไม่ได้

หล่อนแน่ใจเหรอที่พูดมามันเป็นเรื่องจริง ถ้ากุเรื่องล่ะก็ มันทำให้ รพ เสียหายนะ

■

■

ขุ่นแม่ก็รับปากว่าเธอว์จะอธิบายทุกเรื่องให้ชาวเน็ทกระจ่างทั้งหมด

■

วันถัดมา ขุ่นแม่ก็อัพภาพลูกสาวขณะกำลังแอดมิทใน รพ ภาพใหม่ แล้วประชดประชันชาวเน็ทว่า

ขออภัยด้วยนะคะที่วันก่อนเอาภาพเก่ามาลง แค่ชั้นทำไปโดยไม่มีเจตนาร้ายอันใด

ถ้าใครยังติดใจ อยากเห็นหนังหน้าคนชั่วคนเลวอย่างชั้นก็เชิญมาพบกันที่ รพ ได้เลยค่ะ

■

ชาวเน็ทคนนึงที่เคยเห็นใจและเข้าข้างขุ่นแม่มาก่อนก็เตือนขุ่นแม่ว่า หล่อนพอเหอะ

ที่ผ่านมา เวลาใครตั้งข้อสงสัยในตัวหล่อน พวกชั้นก็ออกตัวแก้ต่างให้มาโดยตลอด

แต่พอชั้นได้เจอข้อเท็จจริงเข้ากับตัว ชั้นว่ามันถึงเวลาแล้วนะที่หล่อนควรจะชี้แจงให้กระจ่างว่า

ถ้าลูกสาวหล่อนได้รับการอุปถัมภ์เป็นคนไข้ส่วนพระองค์ตามที่หล่อนอ้างแล้วจริงๆ

ค่ารักษาทั้งหลายแหล่ก็ควรจะได้รับการยกเว้น ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองแล้วสิ ถ้ามีคนสงสัยเรื่องค่าใช้จ่าย ทำไมหล่อนชี้แจงไม่ได้ล่ะ

แล้วที่มีคนไปตั้งกระทู้ในพันทิป บอกว่าไอ้โรคมะเร็งเม็ดเลือดแดงที่หล่อนอ้างว่าลูกสาวเป็นเนี่ย มันหมายถึงโรคอะไร ทำไมถึงมีแต่คนบอกว่าโรคนี้มันไม่มีอยู่จริงล่ะ

■

ขุ่นแม่ก็ชี้แจงว่าลูกสาวเธอได้รับการอุปถัมภ์เป็นคนไข้ส่วนพระองค์จริงๆนะ แต่ค่าใช้จ่ายส่วนเกินเธอต้องจ่ายเองไง

ส่วนโรคมะเร็งเม็ดเลือดแดงของลูกชั้นที่คนในพันทิปจะไม่รู้จักก็ไม่แปลก เพราะมันเป็น “โรคใหม่” ที่เพิ่งพบไงล่ะ

■

ในเวลาต่อมา ขุ่นแม่ก็อ้างว่าเด๋วเธอจะเอาหลักฐานทุกอย่างมาให้ชาวเน็ทดูก็ได้ ขอยืนยันว่าเธอไม่เคยเอาลูกมาหากินอย่างแน่นอน

แต่ถ้าเธอเอาหลักฐานออกมาให้ดูแล้ว พยาบาลไม่ยอมรักษาลูกเธอต่อ มีใครหน้าไหนกล้ารับผิดชอบชีวิตลูกสาวของเธอมั้ยล่ะ

■

ชาวเน็ทก็สงสัยว่าถ้าลูกสาวหล่อนเป็นคนไข้ส่วนพระองค์จริง ทำไมจะเอาข้อมูลออกมาเผยแพร่ไม่ได้

ในเมื่อหล่อนรักษากับ รพ รัฐ ในพระอุปถัมป์ ไม่ได้ไปรักษากับคลินิคเถื่อนซักหน่อย

หมอที่รักษาลูกสาวหล่อนเขาก็รักษาตามหลักวิชาการ ไม่ได้จับไปเป็นหนูทดลองยา

ทำไมจะเอาข้อมูลค่าใช้จ่ายการรักษา ชื่อยาที่ใช้มาเปิดเผยไม่ได้วะ

เอามาเปิดเผยซํกทีเหอะน่า พวกชั้นจะได้รู้ว่าไอ้ยาเข็มละครึ่งล้านที่หล่อนอ้างน่ะมันยาอะไรกันแน่

■

แต่ขุ่นแม่ก็ยังย้ำคำเดิมว่า ถ้าชั้นเอาข้อมูลของลูกสาวมาเปิดเผยจนเกิดปัญหาล่ะใครจะรับผิดชอบ

ถ้าเอาหลักฐานทั้งหมดมาให้พวกเธอว์ดู แล้วลูกสาวชั้นจะมี รพ ให้รักษามั้ย

■

■

ชาวเน็ทสงสัยว่าทำไมจะไม่มีรพ ไหนรักษาลูกสาวหล่อนวะ กะอีแค่เอาข้อมูลมาให้ดูว่ารักษาอยู่ที่ รพ นั้นจริงๆ

เช่น เอาบัตรคนไข้มาให้ดูแค่นี้ มันไม่ทำให้ รพ เคืองถึงขั้นเตะโด่งลูกสาวหล่อนออกจาก รพ หรอกนะ

■

แต่ขุ่นแม่ก็ยังบ่ายเบี่ยงไม่ยอมเอาหลักฐานมาให้ดูซักที บอกว่ารอให้ทุกคนอารมณ์เย็นกว่านี้แล้วชั้นค่อยกลับมาอธิบายดีกว่าค่ะ

■

จนชาวเน็ทชักฉุน ด่าขุ่นแม่ว่าหล่อนจะแถไปถึงไหนยะ รีบๆมาอธิบายความจริงได้แล้ว

แล้วไม่ต้องมาอธิบายให้ชั้นฟังแค่คนเดียว นู่นเลย คนสุพรรณทั้งจังหวัดเขารอคำชี้แจงจากหล่อนอยู่

ส่วนเงินที่ชั้นบริจาคหล่อนไปอ่ะ โอนคืนมาด้วยนะ ไม่งั้นหล่อนไม่เหลือที่ยืนในสังคมแน่ๆ

■

■

■

ขุ่นแม่ก็ยังคงยืนยันว่าที่เธอเคยพูดไปทั้งหมดเป็นความจริงค่ะ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่าเธอว์พูดจริง

■

ชาวเน็ทก็ถามขุ่นแม่ว่าจริงหรา ถ้าที่หล่อนพูดเป็นความจริง แล้วที่มีคนไปสอบถาม รพ

พบว่าลูกสาวหล่อนไม่มีประวัติเป็นโรคมะเร็ง ไม่มีประวัติส่งตัวไปรักษามะเร็งที่ไหน

ในภาพที่มา นอน รพ หนล่าสุด เพราะหล่อนหอบลูกไป รพ บอกว่าลูกอ้วกเป็นเลือด

เลยขอให้หมอแอดมิทลูก จะได้ถ่ายรูปมาลงเฟซได้ถนัดๆว่าลูกสาวชั้นแอดมิทจริงๆนะ มันเป็นเรื่องโกหกเหรอย๊ะ

■

ขุ่นแม่ก็แจงรัวๆว่าลูกสาวชั้นเป็นมะเร็งจริงๆนะ ลูกสาวชั้นอ้วกเป็นเลือดจริงๆ

เงินที่ชั้นได้รับมาก็เอาไปยื้อชีวิตลูกจริงๆ ไม่เคยใช้ลูกเป็นเครื่องมือหาเงินเลย ชั้นอธิบายทุกอย่างได้จริงๆน๊ะ

■

ชาวเน็ทก็ถามขุ่นแม่ว่าแล้วเมื่อไหร่หล่อนจะอธิบายความจริงของหล่อนซักทีวะ

บอกแต่ว่าจะอธิบายๆๆๆอยู่นั่นแหละ ถ้ามีเวลามาเม้นต่อปากต่อคำกับพวกชั้น

ก็อธิบายสิ่งที่หล่อนอ้างว่าเป็นความจริงซักทีเซ่ ไม่งั้นพวกชั้นจะเฮโลไปเยี่ยมลูกสาวหล่อนที่บ้านพร้อมนักข่าวนะเว้ย

■

ในที่สุด ขุ่นแม่ก็สารภาพความผิดว่า ลูกสาวเธอไม่ได้เป็นมะเร็ง แค่ “เสี่ยงเป็นมะเร็ง” เฉยๆ

ขุ่นแม่อ้างว่าลูกสาวเธอป่วยเข้า รพ บ่อยไง ถึงจะไม่ต้องจ่ายค่ารักษา (ใช้สามสิบบาทแหง)

แต่ค่ากินค่าอยู่มันก็หลายบาทอยู่ จนเธอต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเป็นค่ากินค่าอยู่หลายแสนบาท

ช่วงที่เธอเป็นหนี้หลายแสนนั้นเอง เธอก็ไปดูบอลทีมสุพรรณบุรีFC จนได้รู้จักเพื่อนๆแฟนบอลคนอื่นๆ

แล้วพอเพื่อนๆถามเธอว่าทำไมลูกสาวเข้า รพ บ่อยจัง เป็นอะไรเหรอ เธอก็ดันตอบไปว่าลูกสาวเป็นมะเร็งเม็ดเลือด

เพื่อนๆแฟนบอลสุพรรณบุรีก็มีน้ำใจ ระดมเงิน ประมูลเสื้อหาเงินมาช่วยเหลือลูกเธอได้เงินหลายแสน

เธอก็เลยปล่อยเลยตามเลย บอกว่าลูกสาวเป็นมะเร็งแล้วรับเงินช่วยเหลือจากเพื่อนๆทุกคนซะเลย

จนสามารถเอาเงินหลายแสนไปจ่ายหนี้ จ่ายค่าแชร์ได้หมดในเวลาแค่หนึ่งปีเท่านั้นเอง

ขุ่นแม่บอกว่าเธอผิดไปแล้ว ที่เธอพูดไปเป็นความจริงทั้งหมด ขอให้ทุกคนให้อภัยและให้โอกาสเธออีกซักครั้งเถอะ

■

เมื่อความจริงปรากฏ ชาวเน็ทที่เคยมีน้ำใจให้ขุ่นแม่ก็เลือดขึ้นหน้า โวยวายว่าอะไรวะ

พวกกรูอุตส่าห์ช่วยเหลือลูกสาวเอ็งด้วยน้ำใจ ทำไมถึงมาหลอกลวงกันแบบนี้

■

ขุ่นแม่ตอบว่าทำไงได้อ่ะ ก็เธอไม่มีทางเลือกจริงๆ เพราะเธอมีหนี้สินเยอะจนจ่ายไม่หมด

■

ชาวเน็ทก็เบ้ปากแล้วบอกกับขุ่นแม่ว่าจ่ายหนี้สินส่วนตัวแค่นั้นจริงดิ แน่ใจนะว่าหล่อนไม่ได้เอาเงินพวกนั้น

ไปใช้จ่ายส่วนตัว ไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆใส่ แถมยังมีเงินไปเที่ยว ไปดูบอลตลอดทั้งปี

■

นี่ขนาดสารภาพผิดแท้ๆหล่อนยังโกหกจนถึงวินาทีสุดท้าย ที่ลูกสาวหล่อนเข้า รพ หนล่าสุด

อย่าคิดว่าชั้นไม่รู้นะว่าเข้าเพราะมีอาการปวดท้อง อ้วก แต่ไม่ถึงขั้นต้องแอดมิท

หล่อนนั่นแหละที่เป็นคนขอให้หมอแอดมิทลูกสาวเองเพื่อจะได้มีรูปไว้ใช้ตบตาพวกชั้นใช่มั้ยล่ะ

อย่าคิดว่าเรื่องนี้แค่ขอโทษแล้วจะจบง่ายๆนะโว้ย ถ้าเมิงไม่คืนเงินพวกกรูมาให้หมด

งานนี้ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลข้อหาฉ้อโกงประชาชนแน่

■

■

ชาวเน็ทอีกคนก็ยังสงสัยว่าที่ขุ่นแม่อ้างว่าลูกสาวเป็นคนไข้ส่วนพระองค์เนี่ย เรื่องจริงเหรอวะ

■

ขุ่นแม่ตอบว่าจริงค่ะ ลูกชั้นเป็นคนไข้ส่วนพระองค์จริงๆนะ

■

ชาวเน็ทก็ซักต่อว่าถ้าลูกสาวหล่อนไม่ได้เป็นมะเร็ง แล้วจะได้รับการอุปถัมภ์เป็นคนไข้ส่วนพระองค์ได้ไงกัน

■

ว่าแต่คนไข้ส่วนพระองค์ หมายถึงพระองค์ท่านไหนมิทราบ ถ้าหล่อนกุเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งดุ้น

และลูกสาวหล่อนไม่ได้เป็นคนไข้ส่วนพระองค์จริงๆ งานนี้ติดคุกหัวโตข้อหาหมิ่นเบื้องสูงนะเว้ย

■

จากนั้นชาวเน็ทที่เคยหยิบยื่นน้ำใจให้กับขุ่นแม่ก็โวยวายลั่นว่าพวกกรูไม่ให้อภัยมึงเด็ดขาด

กรูจะแชร์วีรกรรมของมึงให้คนรู้กระฉ่อนทั่วสุพรรณบุรีเลยสัส ไม่ใช่แค่สุพรรณด้วย แต่มันต้องให้รู้กันทั่วประเทศ

อีสัส ถึงเงินที่กรูบริจาคให้มึงจะไม่ได้มากมายอะไร แต่มันคือเงินที่หามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของกรู

มันไม่คู่ควรให้คนอย่างมึงเอาไปใช้จ่ายส่วนตัวอย่างมันส์มือนะอีดอกส์ คืนเงินกรูมาเดี๋ยวนี้อีพวกทำนาบนหลังคน!!

■

ชาวเน็ทอีกท่านเตือนขุ่นแม่ว่า มึงไปเตรียมทนายไว้สู้คดีได้เลยนะครับ งานนี้กรูเอาจริงแน่

อีห่า คิดได้ไงวะว่าได้เงินจากการหลอกลวงครั้งนึงแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย

มึงรู้มั้ยเนี่ยว่าไม่ได้มีลูกมึงที่ไม่สบายคนเดียว เด็กคนอื่นๆที่เขาเจ็บป่วยต้องการความช่วยเหลือก็มี

แต่พวกกรูคิดว่าลูกมึงอาการเร่งด่วนกว่า ถึงเอาเงินบริจาคมาช่วยเหลือลูกมึงแทน

ไม่งั้นป่านนี้เด็กคนอื่นที่เจ็บป่วยหนักเหมือนกัน เขาคงได้รับเงินบริจาคไปรักษาโรคจนหายนานแล้วมั้ง

■

ขุ่นแม่ก็กราบกรานอ้อนวอนชาวเน็ทว่าอย่าฟ้องนู๋เลย ขอโอกาสให้นู๋ซักครั้งเถอะ

ถ้านู๋ไม่กลับตัวกลับใจ รอบหน้าพี่เอานู๋เข้าคุกเลยก็ได้ แต่รอบนี้ปล่อยนู๋ไปซักครั้งเถอะนะ

■

■

■

ชาวเน็ทตอบว่า ให้โอกาสเอ็งก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่าว่ะ มึงบอกให้เห็นใจตัวมึง

แล้วมึงเคยเห็นใจชาวสุพรรณที่ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือเอ็งโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนมั้ย

มึงกุเรื่องหลอกประชาชนแบบนี้ แล้วอนาคตใครเขาจะกล้าบริจาคเงินช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยจริงๆวะ

■

■

ระหว่างที่ขุ่นแม่กำลังอ้อนวอนขอโอกาสจากชาวเน็ทรัวๆ จู่ๆคุณเธอก็อัพสเตตัสบ่นว่า

นี่มันเป็นวิบากกรรมของเธอชัดๆ

■

ชาวเน็ทก็ด่าอีขุ่นแม่เข้าให้ว่าวิบากกรรมพ่องมึงสิ ไอ้ที่มึงประสบอยู่ตอนนี้

มันเป็นเวรกรรมที่มึงสร้างมาเองกับมือทั้งนั้นแหละโว้ยยยยยย

■

หลังจากนั้นชาวเน็ทก็เข้าไปรุมถล่มขุ่นแม่รัวๆ น่าเสียดายที่ขุ่นแม่ลบเฟซหนีไปแล้วว่ะ

ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่างานนี้จะลงเอยยังไง แต่อย่างน้อยกำลังใจของชาวสุพรรณบุรี

ก็ช่วยให้คุณลูกที่เป็นโรค “มะเร็งเม็ดเลือดแดง” หายขาดได้นะเธอว์ ช่างเป็นปาฎิหารย์จริงๆเบย

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร โรคตอแหลลงตับจะรักษาต้องใช้ยาเข็มละเท่าไหร่

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้นี้โดยพลัน!!

http://pantip.com/…/33955262

External Link

■

เดบิทภาพประกอบ http://www.fashionrockeruk.com/…/

เรื่องมันมีอยู่ว่า ดาราสาว สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข เธอว์ไปกินสุกี้กับแฟนหนุ่ม

แล้วถ่ายรูปมาลงไอจีส่วนตัว สื่อบันเทิงก็เอาข่าวมานำเสนอตามเรื่องตามราว

■

■

ทีนี้มันดราม่าเมื่อ ชาวเน็ทต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์สายป่านว่า

หล่อนหาแฟนหน้าตาดีกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอวะ หาแฟนหน้าตาหล่อๆใสๆไม่ได้รึไง

■

■

หน้าตาแบบแฟนสายป่านนี่ ถ้าเจอข้างสะพานลอย กรูคงนึกว่าเป็นขอทานนะเนี่ย

■

อนึ่ง แฟนสายป่านนี่เป็นนายแบบหนุ่มลูกเสี้ยวอังกฤษครับ ไม่ใช่ขอทานมาจากที่ไหน

■

เดบิท http://www.manager.co.th/…/ViewNews.aspx?…

หนังหน้าแบบนี้แน่ใจเหรอวะว่าไอ้นี่มันเป็นคน

■

หัดหวีผมให้มันดูเหมือนผู้เหมือนคนหน่อยได้มั้ย ทำผมแบบนี้มันดูสกปรกเหมือนลิงกังเลยนะ

■

■

บางคนก็ไปวิจารณ์หน้าตาของแฟนหนุ่มเลยว่าหน้าตาแบบนี้ มาดแบบนี้ นี่มันขี้ยาชัดๆ

■■

■■

■■

■

บางคนก็พูดถึงสายป่านว่าหน้าตาหล่อนก็ดีอยู่นะ แต่ไปขุดผู้ชายจากไหนมาเป็นแฟนเนี่ย

หน้าตาเหมือนพวกที่เพิ่งออกมาจากคุกเลยว่ะ ห้าห้าห้า

■

ชาวเน็ทก็ถามพี่ไทยพวกนี้ แค่เขาผอม มีรอยสัก แค่นี้มึงก็หาว่าเขาเป็นขี้ยา ขี้คุกแล้วเหรอวะ

■

■

ติดยาบ้าบออะไรกันวะ คนที่มึงด่าว่าเหมือนขี้ยาเนี่ย เขาเป็นนายแบบนะมึง

■

พี่ไทยตอบว่า ก็ใช่ไง คนในสังคมไทยส่วนมากเขาก็มีมุมมองกะรอยสักแบบกรูเนี่ย

■

พี่ไทยอีกคนก็สั่งสอนแฟนสายป่านว่า พ่อหนุ่มเอ๋ย แฟนเธอว์เป็นคนของประชาชนนะ

ถ้ารักแฟนจริงก็ทำตัวให้มันเหมาะสมหน่อย เพื่อตัวเธอว์เองทั้งคู่นั่นแหละ หัดแคร์สังคมมั่งนะตัวเธอว์

■

ชาวเน็ทก็ตอบโต้แทนสายป่านและแฟนหนุ่มว่า ขออภัยค่ะ ที่ตอนเลือกแฟนไม่ได้คิด

เพราะไม่นึกว่าจะมีคนเสือกกับชีวิตกรูมากมายขนาดนี้

■

ว่าแต่อีพวกที่ด่าแฟนสายป่านเนี่ย พวกมึงหน้าตาดีผิวขาวสะอาดสะอ้านกันทุกคนเลยเนอะอีดอกส์

■

พอลองเข้าไปดูโปรไฟล์พวกที่ด่าแฟนสายป่านตะละคน อื้อหือ ถ้ามึงคิดจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆนะ

พวกมึงหลายๆคนอุบาทว์อัปปรีย์กว่าแฟนของสายป่านหลายเท่าเลยว่ะค่ะ แล้วมีหน้าไปวิจารณ์รูปลักษณ์ของคนอื่นได้ไงนิ

หรือมึงคิดว่าการเหยียบคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกของเขา จะช่วยให้คุณภาพชีวิตพวกมึงดีขึ้นรึไง

ต่อให้มึงด่าแฟนสายป่านว่าเหมือนขี้ยา มันก็ไม่ทำให้พวกมึงมีผัวเป็นนายแบบหรือมีกิจการเป็นของตัวเองได้หรอกนะ

■

จากนั้นชาวเน็ทก็บ่นกันใหญ่ว่าประเทศนี้มันเป็นห่าอะไรวะ คนเราจะแต่งตัวยังไง

จะตัดผมทรงไหน จะสักหรือไม่ มันต้องรอให้คนไทยอย่างพวกมึงเป็นคนตัดสินใจรึไงวะ

ไอ้พวกที่ด่าๆว่าเขาเหมือนขี้ยาเพราะรอยสักอ่ะ เผลอๆค่าสักของเขาอาจแพงกว่าเงินเดือนมึงทั้งเดือนก็ได้นะ

■

■

■

แล้วไอ้พวกที่ไปด่าเขาว่าสกปรกเนี่ย ตัวมึงสะอาดมากเลยรึไง เขามีรอยสักแล้วจะทำไม

คนมีรอยสักต้องแปลว่าเขาคนนั้นเป็นคนเลว คนชั่ว เป็นขี้ยาทุกคนเลยรึไงอีหน้าโง่

ถ้ามึงคิดจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก งั้นกรูตัดสินพวกมึงมั่งดีมั้ย

แต่ละคนที่ออกมาด่าแฟนสายป่าน กรูเห็นมีแต่หน้าตาเหี้ยๆไม่มีดีเลยซักกะราย

■

ยิ่งไอ้พวกที่วิจารณ์ว่าเขามีรอยสัก ท่าทางน่ากลัวเหมือนขี้ยาน่ะ ที่น่ากลัวมันไม่ใช่แฟนของสายป่านหรอก

แต่เป็นความคิดของคนไทยอย่างพวกมึงต่างหากล่ะที่น่ากลัว

■

พวกมึงเอาแต่งมงายอยู่กับความเชื่อเดิมๆว่ามีรอยสักแล้วดูสกปรกมั่งล่ะ เหมือนคนขี้ยามั่งล่ะ

แต่ก่อนที่มึงจะตัดสินว่าคนมีรอยสักดูสกปรก เคยเปรยตาดูตัวเองบ้างมั้ยว่าจิตใจสกปรกโสมมขนาดไหน

■

คนมีรอยสักก็ด่าพี่ไทยพวกนั้นว่า กรูมีรอยสักสีดำที่ลำตัว แต่คนอย่างพวกมึงมันสักสีดำลงกลางหัวใจว่ะ

■

แต่ถึงกระนั้นพี่ไทยหลายๆคนก็ยังด่าแฟนสายป่านว่าเหมือนขี้ยาอยู่ดี

■

ชาวเน็ทก็เตือนว่ามึงอย่ามองคนจากภายนอกดิวะ มึงเคยเห็นเขาพี้ยาหรือไงถึงไปด่าเขาแบบนั้น

ลองคิดมั่งว่าถ้ามีคนเอารูปลักษณ์ภายนอกของมึงมาด่าแบบเดียวกันมั่งมึงจะรู้สึกยังไง

■

คนที่มีรอยสักไม่ได้แปลว่าเขาต้องเป็นขี้ยานะเว้ย ไม่งั้นคนดังอย่าเดวิด เบคแฮม กับคนอีกค่อนโลกก็เป็นขี้ยากันหมดแล้วดิ

■

พี่ไทยก็เถียงฉอดๆว่ากรูมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นของกรูว่ะ ความเห็นของกรูมันทำให้ใครเดือดร้อนมิทราบ

ถ้ามึงไม่พอใจความเห็นส่วนตัวของกรูก็เชิญไสหัวไปให้ไกลๆเลยนะยะ ชิ้วๆๆๆ

■

ชาวเน็ทตอบว่าพวกกรูก็มีสิทธิที่จะแสดงความเห็นส่วนตัว กับความเห็นส่วนตัวของมึงเหมือนกันไม่ใช่เรอะ

ถ้ามึงมีสิทธิตัดสินคนอื่น พวกกรูก็มีสิทธิที่จะตัดสินมึงเหมือนกันเว้ย

■

ถ้ามึงคิดจะดูถูกคนอื่น มึงก็มีสิทธิโดนดูถูกกลับเป็นธรรมดา ประเด็นคือ

มึงเอาอะไรไปตัดสินว่าเขาเหมือนขี้ยา หน้าตา? ทรงผม? รอยสัก? หรืออุปกรณ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ?

นั่นมันหม้อสุกี้นะมึง มองอีท่าไหนถึงเห็นเป็นอุปกรณ์เสพยาเสพติดได้ว๊ะ

ถ้ามีลูกมีหลาน ก็อย่าสอนให้เขาเป็นคนที่ตัดสินคนอื่นจากภายนอกเหมือนเอ็งเป็นอันขาดนะเว้ย

■

พี่ไทยก็ด่าแว๊ดๆว่าไม่ต้องมายุ่งกับลูกหลานกรู มึงเก็บความคิดโลกสวยพวกนั้นไว้สอนตัวเองเหอะย่ะ

กรูขอย้ำอีกครั้งว่านี่คือความเห็นส่วนตัวของกรู กรูมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นส่วนตัวนะย๊าาาาา

■

ชาวเน็ทก็ถามมึงมีสิทธิอยู่คนเดียว พวกกรูไม่มีสิทธิแสดงความเห็นถึงตัวมึงเลยรึไง

■

ความเห็นง่าวๆบางเรื่องน่ะ ไม่จำเป็นก็อย่าพล่ามให้คนอื่นฟังมากนักเลย เก็บไว้ในใจก็พอ

หรือถ้าจะพล่ามออกมาก็ทำใจไว้บ้างว่าอาจโดนคนวิจารณ์ได้ ไม่ใช่พอปล่อยความคิดง่าวๆออกมา

จนโดนคนด่า ก็เอาแต่บอกว่านี่ความเห็นส่วนตัวของกรูน๊ะ กรูมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นน๊ะ

ใช้สมองก่อนพิมพ์ข้อความลงเน็ทกันซักนิดนะพวกเธอว์ อย่าใช้แต่อคติเหมือนที่ตัดสินแฟนสายป่านจากรูปลักษณ์ภายนอกเลย

■

หรือถ้าไม่อยากให้ใครวิจารณ์ความเห็นส่วนตัวของพวกมึง ไม่อยากให้ใครเสือกกับความเห็นส่วนตัวของมึง

เชิญมึงไปแหกปากตะโกนความเห็นส่วนตัวของมึงในโอ่งแล้วปิดฝาโอ่งไว้ให้มิดชิดเลยนะอีสัส

■

หลังจากนั้นชาวเน็ทกับพี่ไทนที่หาว่าแฟนสายป่านหน้าตาเหมือนขี้ยาก็ด่ากันรัวๆ

ก่อนที่สายป่านจะออกมาโพสในสเตตัสนี้อย่างเก๋ๆ ดังต่อไปนี้

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร ทำไมประเทศเราถึงมีแต่คนขี้เสือกสาระแนแม่ยิ้มถึงเพียงนี้

หรือการเสือกเรื่องชาวบ้านจะเป็นวิถีไทยๆประการนึง พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน

https://www.facebook.com/…/?…

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เพจไทยเรโทร เขาอัพภาพรำลึกความหลังว่า วันนี้ (20 กค)

คือวันครบรอบที่มนุษยชาติไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก

■

■

ปรากฏว่ามีพี่ไทยเข้าไปเม้นกันใหญ่เลยครับว่านาซ่าไปถึงดวงจันทร์จริงดิ

ทุกวันนี้มันมีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์เคยไปเหยียบดวงจันทร์จริงๆเหรอวะ

■

มึงจัดฉากโกหกมวลมนุษยชาติทั้งโลกรึเปล่า ถ้าไปถึงดวงจันทร์จริงทำไมธงโบกสะบัด

ทั้งๆที่ดวงจันทร์มันไม่มีชั้นบรรยากาศ ไม่น่าจะมีลมวะ

■

■

ไอ้ที่หลายๆความเห็นข้างบนเขาพูดๆกันเนี่ย มันเป็นประเด็นจาก “ทฤษฎีสมคบคิด”

ที่ว่า นาซ่าไม่เคยไปอเมริกา นีลเอ อาร์ม สตรองก็ไม่เคยไปเหยียบอเมริกา

ทั้งหมดเป็นแค่การจัดฉากถ่ายทำในสตูดิโอเท่านั้น ทฤษฎีสมคบคิดที่ว่านี้มันมีที่มาจากหนัง

กับหนังสือ เรื่อง เราไม่เคยไปดวงจันทร์ ของ บิลล์ เคย์ซิง นักเขียนชื่อดังคนนึงที่แกเชื่อฝังใจว่า

นาซ่าไม่เคยไปเหยียบดวงจันทร์ ประเด็นที่เขาหยิบยกมาอ้างก็ยกตัวอย่างเช่น

ทำไมธงอเมริกาที่นีล เอ อาร์มสตองเอาไปปักบนดวงจันทร์ถึงโบกสะบัด

ทั้งๆที่ดวงจันทร์ไม่มีลม ถ้าเอาธงไปปักมันก็ต้องห้อยลงดิ

ซึ่งข้อเท็จจริงคือ ธงอเมริกาที่นาซ่าเอาไปปักบนดวงจันทร์นั้น

มันมีลวดขึงอยู่ด้านบน ให้ธงชาติคงรูปทรงนั้นได้แม้อยู่บนดวงจันทร์ว่ะครับ

■

หรือประเด็นเรื่องแสงและเงาที่ว่าทำไมมันไปคนละทิศคนละทาง

แบบนี้มึงต้องถ่ายทำในสตูดิโอที่มีสปอตไลท์หลายดวงแน่ๆ

ซึ่งก็มีคนอธิบายว่าเป็นเพราะภาพที่มึงเห็นนั้นมัน ความลาดเอียงของพื้นมันไม่เท่ากัน

เวลาเงาจากแหล่งแสงเดียวกันตกกระทบพื้นก็ก็ย่อมไม่เท่ากันเป็นธรรมดา

■

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆจุดที่ฝั่งฤษฎีสมคบคิดยกมาอ้างให้ได้ว่านาซ่าไม่เคยไปเหยียบดวงจันทร์จริงๆ

แต่ก็ถูกปัดตกไปทุกประเด็น น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ยังมีคนหลงเชื่อทฤษฎีสมคบคิดบ้าๆบอๆพวกนี้อยู่

สนใจรายละเอียดเชิญอ่านเพิ่มเติมตามลิงค์ข้างล่างครัช

http://thaiastro.nectec.or.th/…/moonhoax.html

https://th.wikipedia.org/…/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C

http://writer.dek-d.com/…/viewlongc.php?…

คนไทยที่เชื่อทฤษฎีสมคบก็ยังตั้งแง่ว่า นาซ่าไปดวงจันทร์จริงดิ ถ้าไปจริงทำไมธงถึงไม่มีเงาวะ

■■

■

ชาวเน็ทก็ตอบแทนนาซ่าว่ามีเงาว่ะ แต่เงามันทอดยาวจนหลุดเฟรมภาพถ่ายไป

■

มีคนตั้งแง่ว่าถ้าตอนนั้นนาซ่าไปถึงดวงจันทร์จริง ทำไมนับตั้งแต่บัดนั้น มาจนถึงบัดนี้

กว่าห้าสิบปีหกสิบปีแล้ว ยังไม่มียานอวกาศลำไหนไปถึงดวงจันทร์อีกเลยล่ะ ทั้งๆที่เทคโนโลยีเราก้าวหน้าไปมากแล้ว

■

■

ชาวเน็ทตอบว่า ก็เราสำรวจดวงจันทร์จนพรุนหมดทั้งดวงแล้วไง

จนไม่รู้จะสำรวจห่าอะไรอีกแล้ว เขาเลยส่งยานอวกาศไปสำรวจที่อื่นดีกว่า

■

■

เอาง่ายๆก็ล่าสุดที่เพิ่งส่งยานอวกาศไปถึงพลูโตที่อยู่เกือบสุดขอบสุริยะจักรวาล

นาซ่ามันทำได้ถึงขนาดนั้นแล้ว พี่ไทยยังจะเถียงกันว่านาซ่าเคยเหยียบดวงจันทร์จริงหรือไม่อีกเหรอวะ

■

พี่ไทยก็บอกว่าไม่ได้มีแต่พวกกรูที่เชื่อว่านาซ่าไม่เคยไปเหยียบดวงจันทร์นะเว้ย ฝรั่งมันก็เชื่อเหมือนกัน

■

แน่จริงมึงให้นีล เอ อาร์มสตรองมาสาบานต่อหน้าไบเบิลมั้ยว่ามันเคยไปเหยียบดวงจันทร์จริงๆ

(ทำอย่างกับท้าสาบานต่อหน้าวัดพระแก้วเลยว่ะ ถถถถถถถถถถถถถ)

■

ชาวเน็ทตอบว่าท้าสาบานต่อหน้าไบเบิลอะไร ไร้สาระ คำสาบานแม่งมีน้ำหนักเท่าหลักฐานที่รูปธรรมเหรอวะ

ถ้ากรุเป็นนีล เอ อาร์มสตรอง กรูไม่สาบานว่ะ ปล่อยให้ไอ้พวกมโนเพ้อเจอไปเรื่อยนั่นล่ะ ฮาดี

■

พี่ไทยที่เชื่อทฤษฎีสมคบก็บอกว่า กรูมโนต่อไปก็ได้วะ แต่มันไปถึงดวงจันทร์แน่เหรอวะ

กรูเห็นพิรุธมันหลายจุดเหลือเกิน ไหนจะเรื่องแสงเงา ไหนจะเรื่องธงสะบัดได้

■

ชาวเน็ทก็ตอบว่า ธงที่มึงมโนไปว่ามันสะบัดโดยไร้ลม ไร้ชั้นบรรยากาศนั้น ของจริงมันสะบัดซะที่ไหนวะ

มึงเชื่อทฤษฎีสมคบคิดง่าวๆพวกนั้น ถามจริง มึงเคยดูคลิปตอนเขาไปเหยียบดวงจันทร์จริงๆแล้วหรือยัง

■

ถ้าธงมันไปทรงนั้น มึงเอาไปปักบนดวงจันทร์มันก็ทรงนั้นแหละ ไม่จำเป็นว่าต้องมีลมธงถึงจะเบี้ยวแบบนั้นซักหน่อย

ขนาดเสื้อนักบินอวกาศมันยังยับได้เลย นับประสาอะไรกับธงชาติอเมริกาวะ

■

อันนี้คลิปต้นฉบับครับ External Link

ไอ้พวกทฤษฎีสมคบคิดที่พวกมึงพล่ามมาน่ะ เขามีหลักการทางวิทยาศาสตร์มาตีทฤษฎีพวกนี้ตกไปเป็นชาติแล้วเว้ย

ไม่เชื่อมึงก็ลองไปหาบทความต่างประเทศมาอ่านดู ควรรู้ว่าตอนนั้นที่นาซ่าพยายามส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์เหลือเกิน

เพราะมันกำลังแข่งกับรัสเซียอยู่ แต่ขนาดรัสเซียคู่แข่ง ยังไม่เคยออกมาโจมตีว่านาซ่าไม่เคยไปดวงจันทร์จริงเลยซักครั้ง

ถ้ามันไปไม่ถึงดวงจันทร์จริง เป็นแค่การจัดฉากในสตูดิโอ ป่านนี้รัสเซียออกมาโวยกับแฉแหลกเป็นชาติแล้วโว้ย

ไอ้พวกทฤษฎีสมคบคิดอะไรเทือกนี้ อย่าไปเชื่อมันให้มากนักเลย

ไม่มีแก่สารหรือหลักฐานใดๆมายืนยันทฤษฑีเลยซํกอัน มีแต่มโนกันไปเองทั้งนั้น

■

■

แต่กระนั้น ถึงแม้จะมีคนเอาข้อมูล เอากระทู้ที่หักล้างทฤษฎีสมคบคิดมาปาใส่หัวพี่ไทยที่หลงเชื่อให้อ่านกันรัวๆ

แต่ก็ยังคงมีพี่ไทยที่ยืนกรานความเชื่อเดิมว่า นาซ่าไปเหยียบดวงจันทร์ เป็นเรื่องแหกตาอยู่ดี

■

ชาวเน็ทคนนึงก็เอาสารคดีที่โต้แย้งพวกทฤษฎีสมคบคิดมาโพสให้หมอนี่ดู

■

แล้วบอกว่า รบกวนพี่ช่วยแหกขี้ตาดูสารคดีอันนี้หน่อยนะครัช อย่าหลงเชื่อ

ไอ้พวกทฤษฎีสมคบคิดมากจนเกินไป เด๋วจะหาทางออกจากกะลาไม่ถูกนะเออว์

■

พี่ไทยก็ไม่พอใจ โวยวายรัวๆว่ามึงหาว่ากรูโง่ หาว่ากรูเป็นกบในกะลาเหรอวะสัส

กรูแค่ตั้งคำถามเฉยๆ มึงกล้าดียังไงมาหาว่ากรูโง่วะ

■

ชาวเน็ทตอบว่า การตั้งคำถาม โดยไม่รู้จักแสวงหาคำตอบด้วยตัวเอง

หรือดัดดานสักแต่ตั้งคำถามในเรื่องที่เขาพิสูจน์กันทั่วโลกแล้วอยู่นั่นแหละ

แบบนี้นี่แหละที่เรียกว่า โง่ววววววววววววววววววววววววว

■

พี่ไทยเถียงว่ากรูไม่โง่ กรูแค่หาคำตอบไม่เจอเพราะกรูไม่ว่าง กรูถึงมาถามผู้รู้ไง

■

ชาวเน็ทก็แซวว่ามึงไม่ว่างตรงไหนวะ ถ้ามึงมีเวลาถึงขั้นมานั่งเถียงกับกรูฉอดๆในเฟซบุ๊คได้

แปลว่ามึงแม่งโคตรว่างเลย ถ้ามึงมีเวลาว่างขนาดนี้ มึงไปหาข้อมูลในเน็ทอ่านดูสิวะแป๊บเดียวก็เจอแล้วนะมึง

■

■

แต่พี่ไทยก็ยังคงยืนกรานว่า กูไม่ว่างเว้ย!!

■

ชาติหน้ามึงคงจะได้คำตอบอยู่หรอกนะครับ ถ้าไม่มีเวลาว่างไปหาคำตอบกันแบบนี้

มีชาวเน็ทคนนึงวิจารณ์พี่ไทยเอาไว้อย่างเจ็บแสบว่า คนไทยพวกนี้

มีสติปัญญาพอที่จะเล่นเน็ท เล่นเฟซบุ๊ค แต่กลับไม่มีสติปัญญาเพียงพอ

ที่จะใช้โซเชี่ยลเน็ทเวิร์คและอินเตอร์เน็ทในการหาความรู้ มันช่างพิลึกพิลั่นซะจริงๆ

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร พี่ไทยที่ยังเชื่อทฤษฎีสมคบคิดเรื่องมนุษย์ไม่เคยไปเหยียบดวงจันทร์

พี่รู้มั้ยครัช ว่าเราส่งหุ่นยนต์ไปถึงดาวอังคาร และส่งยานอวกาศไปถึงพลูโตแล้วนะเออว์

พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน!!

https://www.facebook.com/…/?…

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เว็บพันทิป มีคนตั้งกระทู้เปิดประเด็นว่า การ์ตูนแปลไทยที่แปลไม่ดีเนี่ย

สมควรจะถูกคนหยิบยกมาก่นด่าจนเสียหายปะ ถ้าแปลไม่ดีก็ตัดเตือนกันดีๆดิ จะเอามาด่าหรือเสียบประจานทำไม

■

ประเด็นนี้สืบเนื่องมาจากเฟซบุ๊คของกระทาชายนายนึง ที่เอาการ์ตูนแปลไทยแบบผิดลิขสิทธิ์

ที่เผยแพร่ในเว็บแห่งนึงมาเผยแพร่ว่า แปลได้เหี้ยมากๆ แปลเหี้ยจนเนื้อเรื่องเละเทะอ่านไม่รู้เรื่องสัสๆ

ถ้ามึงมีปัญญาแปลได้แค่นี้ก็ไปชักว่าวเหอะไป๊ อย่ามาแปลการ์ตูนให้เป็นมลภาวะทางสายตากับพวกกรูเลย

■

อันนี้คือการ์ตูนที่ว่านะครับ ….อ่านแล้วรู้สึกว่า มันแปลจริงๆเหรอวะ เหมือนกูเกิ้ลทรานเสลดมากกว่าว่ะ

■■

ในภาพนี้เป็นการ์ตูนเรื่อง Arachnid มือสังหารพันธ์แมงมุมของค่าย SIC อย่าลืมอุดหนุนของลิขสิทธิ์ดันด้วยนะเธอว์

External Link

ย้อนกลับมาที่ จขกท กันต่อ จขกท ก็ร่ายยาวว่า พวกคนแปลบางทีมันก็อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก

เอามังงะที่คนแปลเป็นอังกฤษแล้วมาแปลเป็นไทยอีกที ถ้าฝรั่งที่แปลจากญี่ปุ่นเป็นอังกฤษคนแรกมันมั่ว

คนที่เอามาแปลเป็นไทยมันก็มั่วตามกันเป็นทอดๆนั่นแหละ ไม่แปลกหรอกถ้าจะมีคนแปลเป็นไทยแล้วมั่วได้ขนาดนี้

แถมงานพวกนี้เป็นงานที่เราทำกันฟรีๆ ทำกันด้วยใจ ไม่มีค่าตอบแทนใดๆทั้งนั้น เหมือนงานการกุศลอ่ะ

ถ้าอ่านแล้วเจอคนที่แปลแย่ๆก็ไม่ต้องอ่านต่อดิ หรือถ้าจะด่าก็ด่าในใจก็พอ จะมาด่าออกสื่อทำไมวะ

มึงไม่รู้สึกตัวมั่งเลยหราว่ากำลังเหยียบย่ำงานที่คนแปลเขาตั้งใจทำอย่างเนิ่นนานเพื่อแปลการ์ตูนให้พวกมึงได้อ่านกันนะ

■

มีคนเห็นด้วยกับ จขกท ว่าไม่ควรด่าพวกแปลห่วยว่ะ เพราะทำให้คนแปลเสียกำลังใจ ไม่เกิดประโยชน์อันใด ไร้สาระ

ถ้าจะทำก็สมควรตำหนิว่าแปลพลาดตรงไหน แล้วไอ้คนที่แปลพลาดมันก็ควรรับฟังความเห็นคนอื่นด้วยนะ

■

แต่ส่วนมากไม่เห็นด้วยกับ จขกท บอกว่า ถ้ามีคนแปลเป็นไทยได้ระยำต่ำช้าแบบในภาพที่ยกตัวอย่างมา

มันก็สมควรโดนด่าแล้วนี่หว่า  มึงเล่นเอาภาษาอังกฤษโยนใส่กูเกิ้ลทรานเสลท แล้วก๊อปมาใส่ทั้งยวงแบบนั้น

ถ้ามันออกมาอ่านไม่รู้เรื่อง ก็สมควรโดนด่าจนเสียหมาแล้ว ขนาดการเกลารูปประโยคมึงยังไม่ยอมทำเลยนี่หว่า

■

■

ในเวลาต่อมา ชายหนุ่มเจ้าของเฟซก็เข้ามาทักทาย จขกท ว่า สวัสดี นั่นเฟซกรูเอง

■

จขกท ก็ทักทายกลับว่า สวัสดี ถึงเราจะไม่รู้จักกัน และนั่นเป็นเฟซบุ๊คพื้นที่ส่วนตัวของมึง

แต่กรูอ่านที่เอ็งด่าคนแปลแล้ว กุหมั่นไส้ว่ะ พื้นที่ส่วนตัวน่ะเก็บไว้ระบายความในใจส่วนตัวเหอะ

อย่าไปด่าคนที่แปลห่วยๆเลย เพราะมันรังแต่จะทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างกันและกัน

■

เจ้าของเฟซตอบว่า ตูวิจารณ์พวกแปลชุ่ยลงเฟซ แล้วเอ็งแคปมาวิจารณ์ต่อในพันทิปอีกที

มันก็แฟร๋ดี ต่างคนต่างวิจารณ์ ไม่เป็นไรหรอก แต่ตูขอพูดในฐานะที่เคยแปลการ์ตูนพวกนี้มาก่อน

เอ็งอาจจะคิดว่า ตูแปลเพื่อการกุศล แปลเพื่อให้คนได้อ่านการ์ตูนดีๆ แต่เอ็งจะเปลี่ยนความคิดไปเลย

ถ้าเอ็งได้รู้จักกับนักเขียนการ์ตูนตัวเป็นๆ แล้วรู้ว่าเขาถูกเอารัดเอาเปรียบจากพวกแปลการ์ตูนเถื่อนมากมายขนาดไหน

■

การที่เราเอาผลงานของพวกเขามาแปล มันก็คือการทำร้ายนักเขียนตรงๆนั่นแหละ

แถมยังเป็นการสนับสนุนให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์อีกต่างหาก ถ้าเราอ้างว่า

เราแปลเพื่อการกุศลนะ ให้คนอ่านได้อ่านการ์ตูนดีๆกันฟรีๆนะ แล้วนักเขียนการ์ตูนล่ะ

เขาได้ห่าเหวอะไรจากการกระทำของพวกเราบ้าง นอกจากคำหวานที่เราใช้เป็นข้ออ้างว่าทำเพื่อการกุศลเท่านั้นเอง

■

จากนั้นชาวพันทิปกับ จขกท ก็ถกเถียงกันต่อในประเด็นที่ว่างานแปลห่วยสมควรถูกด่ามั้ย

ส่วนมากบอกว่า แปลห่วยก็คือแปลห่วย ถ้ามึงไม่รู้จักปรับปรุงคุณภาพในการแปล

ก็อย่าเสือกมาทำตัวง้องแง้งบอกว่าห้ามด่ากรูน๊ะ ห้ามวิจารณ์กรูน๊ะ

■

ถ้ามึงยอมรับความผิดพลาดได้ มึงถึงจะพัฒนา แต่ถ้ามึงไม่ยอมรับความผิดพลาด

เอาแต่อ้างว่ากูตั้งใจทำน๊ะ กรูทำฟรีน๊ะ แล้วอีกกี่สิบชาติมึงถึงจะพัฒนาซะทีวะ

■

แล้วไอ้พวกที่แปลโดยการเอาประโยคไปใส่กูเกิ้ลทรานเสลทแล้วเอามาแปะใส่ภาพแบบนี้

มันสมควรนับว่าเป็นการแปลเหรอวะ แปลออกมาอีท่าไหนถึงเรียบเรียงเป็นภาษาคน

ให้มนุษย์อ่านเข้าใจไม่ได้ มึงแปลแบบนี้ถือว่ามึงกำลังดูถูกคนอ่านโคตรๆเลยน๊ะ

■

■

มีคนเถียงแทนนักแปลกากส์ๆว่าด่ากับวิจารณ์ไม่เหมือนกันนะเว้ย พวกที่แปลไม่เข้าใจ

บางทีมันอาจจะเป็นเพราะการ์ตูนเรื่องนั้นๆใช้ศัพท์เฉพาะ เช่น ศัพท์ทางการแพทย์ก็ได้

ถ้าคนแปลที่มันแปลให้มึงอ่านฟรีๆ แปลผิดมั่งถูกมั่ง ก็อย่าไปว่าเขาเลยน่า อ่านฟรีแล้วยังจะไปด่าเขาอีกเหรอวะ

■

ชาวพันทิปตอบว่า ถ้างานมันเหี้ยได้ระดับนี้ จะงานฟรีหรืองานไม่ฟรี กูก็มีสิทธิด่าได้ทั้งนั้นว่ะ

■

แล้วงานพรรค์นี้อ่ะนะ ด่าแม่งไปเล้ย ไม่ต้องไปวิจารณ์มัน คำแนะนำ ติเพื่อก่อ มันมีไว้สำหรับคนที่พยายามแล้ว

แต่ผลงานยังไม่ดีพอ พวกนี้สมควรได้รับคำวิจารณ์เพื่อปรับปรุงผลงาน แต่ไอ้พวกที่ไม่มีความพยายามห่าเหวใดๆเลย

พวกนี้เราจะวิจารณ์มันไปทำไม เปล่าประโยชน์สินดี ไอ้พวกนี้แม่งก็แค่แปลการ์ตูนตามกระแส อยากให้มีเด็กมาอ่านผลงานมัน

แล้วไม่รู้เรื่อง คิดว่ามันแปลดี ก็เลยเทิดทูนบูชาพวกมันเป็นเมพนักแปล ทั้งๆที่แม่งแปลหมาไม่แดกยังกะอะไรดี

■

ไอ้ที่ จขกท เอามาแปะให้ดูน่ะ มันไม่นับว่าเป็นงานแปลหรอกว่ะ ก่อนจะด่าคนอื่นว่าเอามาวิจารณ์ให้เสียหายทำไม

มึงไปด่าไอ้คนแปลก่อนเหอะว่ามันทำอีท่าไหนถึงแปลออกมาได้เหี้ยขนาดนี้ มันเกินขอบเขตของการติเพื่อก่อแล้ว

เพราะมันพังพินาศย่อยยับจนไม่มีทางแก้ไขได้ตั้งแต่ต้น แล้วมึงจะให้คนติเพื่อก่อยังไง

หรือจะให้เขาไม่ติ ไม่ด่า ไม่วิจารณ์ แต่ให้กำลังใจไอ้คนแปลว่าขอให้มึงแปลชุ่ยๆแบบนี้ต่อไปนะ

มึงอย่าอ้างว่าทำเพื่อการกุศล ไม่ได้เงิน ขอให้พวกกรูเห็นใจ ถ้าทำฟรีแล้วผลงานออกมาเหี้ยแบบนี้

ขอร้อง มึงเลิกทำเหอะ ให้พวกกรูไปหาอ่านจากที่อื่นกันเอาเองก็ได้

■

ไม่ใช่จับข้อความโยนลงกูเกิ้ลทรานเสลทแล้วเอามาแปะใส่ภาพแบบชุ่ยๆอย่างนี้

มันเหมือนกับมึงเอาไจแอ้นมาร้องเพลงให้พวกกรูฟังเป็นตัวอักษรชัดๆ

ทำอย่างนี้มันดูถูกงานแปลฉิบหายเลยว่ะ

■

■

จขกท ตอบว่า เออตูก็เกลียดพวกแปลแบบขอไปทีเหมือนกัน แต่ประเด็นคือ

ก่อนด่ามัน เราก็ควรแนะนำมันก่อนไง ถ้ามันไม่ทำตามที่เราแนะนำค่อยด่า ไม่ใช่ด่ามันตั้งแต่ต้น

■

มีคนย้อนถาม จขกท ว่าแล้วที่ จขกท ตั้งกระทู้นี้มาจวก เจ้าของเฟซ

โดยไม่คุยกับเขาก่อน มันต่างจากที่มึงกำลังด่าเขาปาวๆอยู่ตรงไหนล่ะ

■

แล้วเอ็งก็บอกว่าเกลียดพวกแปลแบบขอไปทีอย่างนี้เหมือนกัน แล้วเจ้าของเฟซมันทำอะไรผิด

ที่เขาเอาการ์ตูนแปลไทยแบบเหี้ยๆมาด่านี่มันผิดตรงไหน ทำไมต้องโดนเอามึงมาด่าอีกทอดในนี้ด้วยวะ

■

จขกท อธิบายว่า ประเด็นกรูคือ สมมุติว่ามึงวาดภาพในชั่วโมงศิลปะ แล้วมีเพื่อนมาหัวเราะเยาะผลงานมึง

เอารูปห่วยๆของมึงไปติดบนกระดานดำหน้าห้องแล้วลากเพื่อนคนอื่นๆมารุมหัวเราะ เป็นมึง มึงจะชอบมั้ยล่ะ

ถ้าเป็นกรูนะ กรูจะลากไอ้คนที่วาดห่วยไปด่ากันตัวต่อตัวว่ามึงวาดห่วยเหี้ยๆ ทำไมมึงวาดแบบนี้ วาดไม่เป็นรึไง

ถ้าวาดห่วยขนาดนี้ก็อย่าเสือกเอาผลงานออกมาโชว์ ไม่ใช่ลากมันมาประจานให้คนรุมด่ากลางสี่แยกเอามันส์อย่างเดียวว่ะ

■

ชาวพันทิปก็ถาม จขกท ว่า มึงเอางานที่ต้องทำส่งอาจารย์ กับทำฟรีตามความสมัครใจของมึงมาเทียบกันได้ไง

ไอ้คนแปลมันเลือกที่จะแปล เลือกที่จะเผยแพร่ลงเน็ทตามความสมัครใจของมันเอง พอผลงานออกมาห่วย

โดนพวกกรูรุมวิจารณ์ด่าว่า จะเรียกว่าพวกกรูลากมันไปรุมประจานกลางสี่แยกได้ไง

ไอ้คนแปลต่างหากที่ประจานตัวเอง เพราะเสือกเผยแพร่ผลงานห่วยๆพรรค์นี้ออกมา

■

ถ้ามึงผลิตงานห่วยๆออกมาแล้วห้ามแตะต้อง ห้ามติติง ห้ามวิจารณ์อะไรทั้งนั้น มึงเลิกแปลไปเหอะ

เผลอๆไอ้คนแปลให้มาอ่านการ์ตูนที่มันแปลเองยังอ่านไม่รู้เรื่องเลยมั้ง

พวกนี้อย่าเรียกมันว่านักแปลเลย เรียกว่านักก๊อปวางอักษรดีกว่าว่ะ

■

■

หลังจากนั้น จขกท ก็ดราม่ากับชาวพันทิปคนอื่นรัวๆว่าควรวิจารณ์พวกที่ผลิตผลงานห่วยๆออกมาดังๆ

หรือควรจะไปกระซิบใส่หูมันเบาๆไม่ให้ใครได้ยินว่า ผลงานมึงห่วยจังว่ะ กันแน่

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างงานแปลการ์ตูนของนักแปลเทือกนี้มาให้ดูเป็นตัวอย่างเพิ่มเติม

ดูในภาพข้างล่าง กรุณาสังเกตภาพทางขวา ต้นฉบับคือ Ringggggg เสียงโทรศัพท์

แต่พ่อนักแปลสุดเมพคนนี้ เอาไปลงกูเกิ้ลทรานเสลท กลายเป็นว่า โทรศัพท์ดัง

แหวนนนนนนนนนน แหวนนนนนนนนนนนนน ไปเสียฉิบ

■

https://www.facebook.com/…/1025690954110584

โดยส่วนตัว จ่าคิดว่าคุณสมบัติสำคัญที่สุดของคนที่จะทำงานแปลได้ อย่างแรกคือต้องชำนาญภาษาไทยพอสมควร

พอที่จะเรียงร้อยข้อความให้คนอ่านเข้าใจได้ ถ้าทำสิ่งนี้ไม่ได้ อย่าว่าแต่งานแปลเลย งานวรรณกรรมใดๆมึงก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น อีห่า

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร ยุคนี้ยังมีใครเชื่อว่าพวกซับเถื่อนแปลดีกว่าการ์ตูนถูกลิขสิทธิ์อีกมั้ย

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้นี้โดยพลัน!!

http://pantip.com/…/33931332

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนี้เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญระดับโลก นั่นคือยานอวกาศ

New Horizon ที่นาซ่าส่งออกนอกโลกเมื่อเก้าปีก่อน จะเดินทางใกล้ดาวพลูโตที่เป็นเป้าหมายมากที่สุด

ความสำคัญของภารกิจนี้ เพราะดาวพลูโตเนี่ย เป็นดาวที่เพิ่งจะถูกค้นพบเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้

และเรามีความรู้เกี่ยวกับมันน้อยมาก กระทั่งเรื่องราวของดาวดวงนี้ก็ดราม่ามาก

ตั้งแต่ที่มาของการค้นพบดาวดวงนี้ ได้รับการจัดให้เป็นดาวเคราะห์

แล้วถูกถอดออกจากการเป็นดาวเคราะห์เมื่อเรามีข้อมูลเกี่ยวกับวงโคจรของมันมากขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เป็นประเด็นถกเถียงกันในแวดวงวิชาการเยอะมากว่าดาวพลูโตนี่มันเป็นดาวเคราะห์หรือเป็นดาวเคราะห์แคระกันแน่

เมื่อ 9 ปีก่อน ตอน คศ 2005 องค์การนาซ่ากับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์

ก็ได้ร่วมมือกันพัฒนายานอวกาศ New Horizon เพื่อทำภารกิจสำรวจดาวพลูโตและรอบนอกของระบบสุริยะ

■

การพัฒนายานอวกาศนี่ต้องเร่งมาก เพราะต้องส่งยานอวกาศออกเดินทางภายในปี 2006

พอไปถึงดาวพลูโตช่วงปี 2015 จะได้ทันเก็บข้อมูล ก่อนที่ดาวพลูโตจะเข้าสู่ฤดูหนาว

จนชั้นบรรยากาศกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่สามารถเก็บข้อมูลของมันส่งกลับมาให้เราได้

ในที่สุดยานอวกาศก็ถูกส่งออกไปในวันที่ 19 มกราคม 2006

■

เดบิทข้อมูลจาก http://www.nutn0n.com/…/

หลังจากเดินทางเป็นระยะเวลากว่า 9 ปี ในที่สุด ยานนิวฮอริซ่อนก็จะเข้าใกล้ดาวพลูโตมากที่สุด

ในวันที่ 14 กรกฏาคม ช่วงประมาณ 5 โมง –6 โมง จะเข้าใกล้ดาวพลูโตมากที่สุดเป็นระยะเวลา 30 นาที

นาซ่าเขาก็ถ่ายทอดสดบรรยาการการติดตามข้อมูลจากยานนิวฮอริซ่อนให้คนทั่วโลกได้ดูกันอย่างใกล้ชิด

มีผู้บริหารของนาซ่า มาคอยตอบคำถามจากทางบ้าน ใครมีข้อสงสัยใดก็แชทถามได้เลย

■

แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ เกรียนไทยจากไหนก็ไม่รู้ว่ะครับ ฝูงมหึมาเลย

เข้าไปเกรียนกันในแชทของคลิปถ่ายทอดสดจากนาซ่ารัวๆ

จนผู้บริหารนาซ่าถึงกับอึ้ง ไม่รู้จะตอบอะไร เพราะแชทถูกเกรียนไทยสแปมจนเละเทะ

ลองมาดูประโยคที่เกรียนไทยไปแสปมในนั้นกันดูนะครัช

■■

■■

ไอ้สัส แม่งมีทุกประเภทเลย ตั้งแต่พวกประกาศตัวว่า กรูคนไทยโว้ย พวกที่มาพูดห่าเหวอะไรก็ไม่รู้

บางพวกก็มาด่าฝรั่ง ด่าผู้บริหารนาซ่าแบบเหยียดผิวซะงั้น บางคนแม่งมาแจกคลิปโป๊หรือขายตรงก็มี

■

■

พอมีคนไปด่า เกรียนพวกนี้ก็จะสวนกลับมาว่า ทำไมพวกกรูจะโวยวายเป็นภาษาไทยไม่ได้

แค่พวกกรูคุยกันสนุกๆแค่นี้มันเลวร้ายมากเลยเหรอ การแชทกันแบบกวนๆของพวกกรูมันชั่วช้าขนาดนั้นเลยเหรอวะ

■

ไอ้ข้อความแสปมพวกนี้มันเด้งรัวๆ จนคำถามที่ชาวโลกถามผู้บริหารนาซ่าเกี่ยวกับภารกิจสำรวจพลูโต

ถูกดันตกหน้าจอหมดเลยว่ะ ผู้บริหารนาซ่าแกก็นั่งหน้าเจื่อนๆอยู่หน้าจอทีวีนั่นล่ะเพราะไม่รู้จะตอบคำถามอะไร

จนมีชาวพันทิปไม่พอใจ ตั้งกระทู้เตือนเกรียนไทยว่าหยุดเหอะ

ทำไมพวกมึงต้องทำแบบนี้วะ ให้กรูดูถ่ายทอดสดสำรวจดาวพลูโตดีๆได้มั้ย

■

ชาวพันทิปก็เห็นด้วยว่าแม่งเหี้ยจริงๆ กรูกำลังจะแชทคุยกับฝรั่งเรื่องดาราศาสตร์

เจอข้อความสแปมจากเกรียนพวกนี้ดันจนตกหน้าจอหมด ฝรั่งมันก็เคืองนะ

จนมันถามว่า เมืองไทยไม่มีโรงเรียนเหรอวะ ทำไมคนพวกนี้แม่งไร้การศึกษากันได้ถึงเพียงนี้

■

■

มีคนแก้ตัวแทนเกรียนไทยว่า นี่ล่ะมึงที่เขาเรียกว่า เกรียนไทยไปเกรียนโลก

เกรียนไทยมีดี มันต้องควักออกมาโชว์ให้ชาวโลกรู้สิวะ

■

ชาวพันทิปก็ถามว่า พฤติกรรมเกรียนๆแบบนี้ มันมีห่าอะไรให้ภูมิใจวะ

มึงกล้าเรียกพฤติกรรมพรรค์นี้ว่ามีดีงั้นเรอะ

■ ■

■

มีคนแก้ตัวแทนเกรียนไทยว่า บางทีเกรียนพวกนี้ อาจจะสนใจเรื่องดาวพลูโต

และอยากมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นี้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะมีส่วนร่วมด้วยวิธีการไหน

ก็เลยแสดงออกแบบนี้ก็ได้มั้ง ยังไงซะให้มันมีส่วนร่วมก็ดีกว่าปล่อยให้มันไปทำเรื่องนอกลู่นอกทางอย่างอื่นนะเออว์

■

ชาวพันทิปแย้งว่า ถ้ามันอยากมีส่วนร่วมก็แสดงออกด้วยวิธีการอื่นสิวะ มีวิธีการอีกเป็นร้อยแปด

ไม่จำเป็นต้องมาทำตัวเกรียนๆหรือสแปมข้อความให้ชาวบ้านเขารำคาญเลย

หรือถ้ามึงไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะถามอะไร มึงนั่งดูคลิปไปเงียบๆก็ไม่มีใครเขาหาว่ามึงเป็นใบ้หรอกนะ

■■

■

หรือถ้ามึงอยากจะสนทนาในโซเชี่ยลเน็ทเวิร์คที่เป็นสากล อย่างน้อยมึงก็ควรจะใช้ภาษาอังกฤษที่เป็นสากล

อย่าเอาภาษาไทยไปใช้สแปมข้อความมั่วๆซั่วให้ขายขี้หน้าไปทั้งประเทศแบบนี้เลยน่า

■

มีคนเถียงแทนเกรียนไทยว่าก็ไอ้พวกนี้มันไม่รู้ภาษาอังกฤษ เพราะมันเป็นคนไทย ที่อยู่ในเมืองไทย

ไม่ใช่คนที่อยู่เมืองนอกเมืองนาซะหน่อย แล้วมึงจะให้มันคุยกันเป็นภาษาอังกฤษได้ไงวะ

■

ชาวพันทิปตอบว่า อย่างน้อยถ้ามึงพิมพ์อังกฤษไม่ได้ มึงคุยเป็นภาษาไทยก็ได้เว้ย

แต่ขอให้อยู่ในประเด็น คุยเรื่องยานอวกาศ ดาวพลูโต ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์อะไรก็ว่ากันไป

มึงกำลังแชทอยู่ในคลิปถ่ายทอดสดที่เป็นสถานที่สาธารณะ จะทำอะไรหัดเกรงใจและให้เกียรติคนอื่นบ้าง

ไม่ใช่ไปตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาไทยแบบหยาบคายอย่างนั้น มันทู่เรศ

■

■

มีความเห็นนึงแก้ตัวว่า อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าเกรียนไทยมันสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์นะมึง

แต่พวกมันอาจจะเกรียนไปบ้าง พวกมึงก็อย่าคิดมากเลยน่า

■

ชาวพันทิปถามว่า จริงดิ ไอ้เกรียนพวกนั้นมันสนใจวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์จริงๆเหรอวะ

กรูว่าเผลอๆมันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขาถ่ายทอดสดน่ะเกี่ยวกับอะไร ไอ้เกรียนพวกนั้นมันรู้มั้ย

ว่าสามสิบนาทีที่พวกมึงไปป่วนเขาเนี่ย มันสำคัญขนาดไหน และเขาเตรียมการมานานเท่าไหร่เพื่อสามสิบนาทีนี้

■■

■

ความเห็นนึงบอกว่าพวกมึงจะอายกันทำไม แสปมแชทในนั้นสนุกดีจะตาย ไม่เห็นจะน่าอายตรงไหน

■

ชาวพันทิปก็ด่าเม้นนี้ว่า อีดอกส์ อีหน้าด้าน มึงไม่อายแต่พวกกรูอายโว้ย

เพราะเหตุการณ์นี้แม่งแสดงสันดานคนไทยให้ประชาคมโลกเห็นได้ชัดเจนโคตรๆ

ถ้ามึงไม่อับอายกับพฤติกรรมเหี้ยๆแบบนี้ก็พอเดาได้ละว่ามึงเป็นคนสันดานแบบไหน

■

■

จากนั้นชาวพันทิปก็ด่าเกรียนไทยกันขรมว่าไอ้พวกนี้แม่งต่ำ ไร้การศึกษา

ทำยังกับเป็นคนป่าเพิ่งเคยเห็นอินเตอร์เน็ทเป็นครั้งแรกในชีวิต

เวลาไปเล่นเน็ทตรงไหน ก็ทำเหมือนหมาเยี่ยวรดเสาไฟฟ้า เยี่ยวเรี่ยราด

ทิ้งกลิ่นให้ชาวบ้านเขารู้ว่ากรูเคยมาที่นี่แล้วนะให้ทั่วไปหมด อุบาทว์ฉิบหาย

■

มึงคิดว่าที่ทำอยู่นี่มันเก๋านักเหรอ ฝรั่งมันก็เกรียนแบบมึงได้เหมือนกัน

แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เพราะเขามีการศึกษาพอที่จะรู้ว่ามันงี่เง่าไร้สาระ

แล้วพวกมึงล่ะ คิดว่าที่ทำอยู่นี่มันดีแล้วเหรอ คิดว่าจบงานนี้

มึงจะเอาไปอวดให้ชาวบ้านฟังว่ากรูเคยไปป่วนถึงนาซ่ามาแล้วรึไง

■

■

ระหว่างที่ชาวพันทิปกำลังก่นด่าเกรียนไทยอย่างดุเดือด ก็มีคนแตกประเด็นว่า

ไอ้พวกที่ไปเกรียนๆกันในคลิปนาซ่านี่ มันเป็นคนต่างชาติที่ปลอมตัวมาเป็นคนไทยรึเปล่าวะ

เพราะเกรียนไทยมันไม่น่าจะสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์นะ ไม่ใช่เรื่องทั่วไปอย่างแข่งฟุตบอลแข่งกีฬาซะหน่อย

■

อมยิ้มอีกคนก็เสนอว่าไอ้พวกที่ทำตัวเหียกๆในคลิปนาซ่า มันต้องเป็นพวกตุรกี

หรืออุยกรู ปลอมตัวมาเพื่อดิสเครดิตให้ประเทศไทยเสียหายอย่างแน่นอน

■

■

อมยิ้มอีกรายก็เสริมว่า จริงด้วย มันต้องไม่ใช่คนไทยแน่ๆ อาจจะเป็นคนต่างชาติ

เช่น ลาว หรือ เขมร ที่รู้ภาษาไทย และพิมพ์ไทยได้ปลอมตัวมาให้ร้ายคนไทยแน่ๆ

■

ชาวพันทิปก็ขำก๊าก ถามไอ้พวกที่ตั้งสมมุติฐานข้างต้นว่า มึงอ่านความเห็นของเกรียนพวกนี้

มึงยังดูไม่ออกอีกเหรอวะ ว่าทั้งสำนวน ความคิด ทัศนคติ รูปแบบการเกรียนของพวกมัน

โคตรๆๆๆๆๆๆๆไทยเลยว่ะ ไอ้ห่าพวกนี้มันเกรียนไทยแท้ล้านเปอร์เซ็นต์

ไม่ใช่คนต่างชาติปลอมมาแน่นอน สำนวนเกรียนๆแบบนี้ชาติไหนจะเลียนแบบได้วะ

■■

■

อย่าอวยประเทศตัวเองให้มากนักเลยพวกมึง คนไทยนี่แหละที่เกรียนไม่แพ้ชาติใดในโลก

หลายๆเหตุการณ์ หลายๆดราม่าที่ผ่านมา ก็ชัดเจนแล้วว่าคนไทยแม่งเกรียนอยู่ในสายเลือด ยอมรับความจริงกันซักทีเถ้อะ

■

หลังจากนั้นชาวเน็ทก็ด่าเกรียนไทยกันรัวๆ ส่วนเกรียนไทยก็ไม่สนใจห่าเหวอะไรทั้งนั้น

ยังคงเกรียนกันต่อไปในคลิปถ่ายทอดสดของนาซ่าจนถึงวินาทีนี้

มีความเห็นนึงน่าสนใจ เขาบอกว่านาซ่าคงได้บทเรียนอันแสนสาหัสจากเหตุการณ์นี้แล้วว่า

เมื่อปล่อยให้ลิงเล่นเฟซบุ๊คแล้วมันจะเป็นยังไง!!

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร ขณะที่เยาวชนอเมริกาต่อยานอวกาศส่งไปถึงดาวพลูโต

เยาวชนไทยทำอะไรกันอยู่ ฮือๆๆ กรูเศร้าจนน้ำตาแทบไหลออกมาเป็นน้ำแดงเฮลบลูบอยแล้ว

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้เหล่านี้โดยพลัน!!

http://pantip.com/…/33919287

External Link

http://pantip.com/…/33921060

http://pantip.com/…/33920967

http://pantip.com/…/33920118

http://pantip.com/…/33919103

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่ทวิตเตอร์ของจารย์อดัม (ครูสอนภาษาอังกฤษชาวต่างชาติ)

แกเปิดประเด็นเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษว่า คนที่เรียนภาษาอังกฤษจนพูดได้คล่องแคล่ว

ไม่ได้แปลว่าพอพูดอังกฤษได้คล่อง สำเนียงไทยของเอ็งจะเปลี่ยนจนกลายเป็นคนพูดไม่ชัดนะครัช

ถ้าเอ็งเกิดเมืองไทย พูดภาษาไทยมาแต่เกิด อย่าทำเป็นพูดไทยไม่ชัดหน่อยเลย อีพวกกระแดะ

■

ปรากฏว่ามีคนไม่พอใจคำพูดของจารย์อดัม ชื่อนาย นะจ๊ะ ด่าจารย์อดัมว่า ไอ้ฝรั่งหัวดอ (คำแสลง)

ฝรั่งอย่างมึงมีสิทธิอะไรมาด่าคนไทยอย่างพวกกรูว่ากระแดะวะ คิดว่ามึงดังแล้วจะพูดอะไรก็ได้รึไงไอ้เหี้ย

■

จารย์อดัมก็ตอบกลับไปอย่างนิ่มๆว่า “สแลง”(slang)  ครับพ่อหนุ่ม ไม่ใช่แสลง แบบนั้นมันแสลงหูแล้วไม่ใช่คำสแลง

■

ชาวเน็ทที่เห็นด้วยกับจารย์อดัมก็ขำนายนะจ๊ะ บอกว่าไอ้ห่านี่แม่งน่าขำสัสๆ

มึงคิดว่าจักรวาลโคจรรอบประเทศไทยรึไง  ทำไมฝรั่งจะวิจารณ์คนไทยไม่ได้วะ

แล้วจารย์เขาด่าคนไทยแบบเหมารวมตั้งแต่เมื่อไหร่ จารย์เขาก็ระบุชัดๆแล้วไงว่าไอ้พวกกระแดะมันคือคนกลุ่มไหน

■

มันคือคนที่พูดไทยได้ชัด แต่ดัดจริตวัลลาบีทำเป็นพูดไม่ใช่ไปเองต่างหาก

■

จารย์อดัมก็งงว่าทำไมมีคนไม่พอใจประเด็นที่ตูพูดถึงวะเนี่ย คนที่เกิดในเมืองไทย โตในเมืองไทย ก็ควรพูดไทยชัด กรูพูดผิดซะที่ไหน

■

มีคนให้กำลังใจจารย์อดัมบอกว่าอย่าถือสาหมอนั่นเลย คนบางคนมันแยกแยะเจตนาของเจ้าของคำพูดไม่ได้หรอกว่าเขาด่ามันด้วยเจตนาร้าย หรือด่าเพราะอยากเห็นมันปรับปรุงตัวให้ดียิ่งขึ้น

■

นายนะจ๊ะก็ถามชาวเน็ทว่าลองให้มีคนด่ามึงว่ากระแดะเพราะสำเนียงพูดของมึงดูมั่งดีมะ

อยากรู้นักว่ามึงจะรู้สึกแสลงใจที่โดนฝรั่งมันด่าว่ากระแดะรึเปล่า

■

จารย์อดัมก็ร่ายยาวว่าคนที่โกรธเพราะสเตตัสแรกสุดของจารย์ มันมีแต่พวกร้อนตัว

ที่แสร้งทำเป็นพูดภาษาไทยไม่ชัดเพราะคิดว่ามันเท่ห์เท่านั้นแหละ แหม่ มันไม่เท่ห์หรอกนะคุณ

แค่เอ็งพูดมาไม่กี่คำ เราก็ฟังออกแล้วว่าเอ็งเสแสร้งแกล้งทำ ไม่ใช่คนที่อยู่ต่างประเทศมานานจนพูดไทยไม่ชัดจริงๆ

■

■

■

ชาวเน็ทคนนึงบอกจารย์ว่าบางทีคนที่พูดไทยไม่ชัด อาจเป็นเพราะเขาไปอยู่ที่อื่นนอกประเทศไทย

ไม่ได้พูดภาษาไทยนานๆ พอพูดทีก็อาจมีสำเนียงเพี้ยนไปบ้าง ไม่น่าเรียกคนกลุ่มนี้ว่ากระแดะมั้ง

■

จารย์อดัมก็ถามว่าจริงดิ ขนาดจารย์อยู่เมืองไทยมาเกือบสิบปีแล้ว ทำไมสำเนียงภาษาอังกฤษของจารย์ไม่เปลี่ยนไปเลยล่ะ

■

แต่ถ้ากรณีตัวอย่างที่พูดถึงนั่น เขาไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นเวลานานๆก็อีกเรื่องนึง พอเข้าใจได้ แบบนั้นไม่ถือว่ากระแดะ

■

คนที่กระแดะในความหมายของจารย์คือ ไอ้พวกที่แกล้งทำเป็นพูดไม่ชัด เพื่ออยากให้ตัวเองดูไฮโซต่างหาก

■

ขนาดจารย์ยังพยายามพูดภาษาไทยให้ชัดที่สุดเท่าที่ทำได้เลย แล้วทำไมคนไทยจะทำมั่งไม่ได้ล่ะ

■

ป้าคนนึงก็ถามจารย์อดัมว่าแล้วคนที่เกิดในไทย โตในไทย แล้วพูดภาษาอังกฤษได้ชัดมันมีซักกี่ % กัน

■

จารย์อดัมตอบป้าว่ามันก็มีอยู่นะเออว์ แต่คนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ส่วนมากเขาก็พูดกันธรรมดาๆ

มีแค่บางคนเท่านั้นแหละที่ทำเป็นพูดไทยไม่ชัด เพื่อยกตนข่มทั่นว่าชั้นสำเนียงต่างชาตินะเธอว์

■

ป้าก็ถามจารย์อดัมว่าเอ็งจะรีบตัดสินว่าเขายกตนข่มท่านเร็วเกินไปปะ คนที่พูดไทยไม่ชัด

ต้องยกตนข่มท่านทุกคนเลยเหรอ บางคนอาจจะพูดไม่ชัดเพราะพูดสองภาษาตั้งแต่เด็กก็ได้

จารย์อดัมอย่าเอาความคิดตัวเองไปตัดสินใครสิวะคะ เราไม่ใช่เจ้าชีวิตเขานะ

■

■

จารย์อดัมตอบว่าเรื่องแบบนี้แค่ฟังสำเนียงดูก็รู้ว่ะครับ ระหว่างคนที่พูดสองภาษา

กับคนที่เจตนาพูดไม่ชัดมันแยกกันได้ง่ายๆอยู่ล้าววววว แล้วที่พูดเนี่ยไม่ได้บอกให้ไปตัดสินใครนะ

แค่อยากให้คนรู้ว่า พอเราฝึกพูดภาษาอังกฤษจนคล่องแล้ว สำเนียงภาษาไทยของเราก็เหมือนเดิมนั่นแหละ

ไม่มีสำเนียงเปลี่ยนแบบไอ้พวกดัดจริตนั่นหรอก รู้ไหมว่ามีไม่น้อยที่ไม่อยากเรียนภาษาอังกฤษ

เพราะกลัวจะกลายเป็นพวกสำเนียงดัดจริตนะ

■

■

เถียงกันไปเถียงกันมา ป้าก็ถามจารย์อดัมว่าเอ็งมาวิจารณ์คนไทยทำไม

เอ็งอยู่เมืองไทยในฐานะอะไรกันแน่ บัตรประชาชนที่แสดงสัญชาติไทยน่ะเอ็งมีรึเปล่า

■

จารย์อดัมย้อนกลับไปว่า กุจะวิจารณ์ใครกรูต้องเป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆก่อนเหรอวะครัช

แหม่ แต่เสียด้วยนะครัช แบบว่าจารย์มีบัตรประชาชน และเสียภาษีให้ประเทศไทยตลอดว่ะครัช

■

ชาวเน็ทก็สงสัยว่าถ้าจารย์อดัมเป็นคนไทย เขามีสิทธิจะวิจารณ์คนไทยว่ากระแดะโดยไม่มีใครโต้แย้งรึไงวะ

ขนาดคนไทยยังเห็นวิจารณ์ฝรั่งกันตั้งเยอะแยะ แล้วทำไมจารย์อดัมแกจะวิจารณ์คนไทยมั่งไม่ได้

ให้คนต่างชาติมาวิจารณ์เรามั่งน่ะดีแล้ว เพราะเขาเห็นจุดด้อยของเราชัดเจนกว่าพวกเราเยอะว่ะ

■

น่าเสียดายจ่ากำลังเก็บข้อมูลเขียนดราม่าเพลินๆ ไอ้ที่ออกมาด่าจารย์อดัมรัวๆแม่งลบแอคเคาท์หนีไปละ

ไอ้ฉิบหายลบต่อหน้าต่อตากรูเลย เก็บมาได้แค่นี้เท่านั้นเอง ก็อ่านๆกันไปเท่านี้ก็พอนะจ๊ะ

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร  อนาคตฝรั่งจะเขียนตำราสอนภาษาไทยให้เราเรียนกันหรือไม่

พวกเธอว์จงตามไปเสพในเพจนี้โดยพลัน!!

https://www.facebook.com/…/?…

https://twitter.com/…/619469017451905024?…

https://twitter.com/…/619005550555066369

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เพจของ อ้น อาภัสพร เจ้าของนามปากกา ภัสรสา

ที่เขียนนิยายรักโรแมนติคให้สำนักพิมพ์บรรหารแจ่มใส และเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์แห่งนึง

เขาเอาคำโปรยหน้าปกของนิยายโรแมนติคเล่มนึงมาโพสลงเฟซ คำโปรยที่ว่ามีเนื้อหาดังต่อไปนี้

■

แล้วภัสรสา ก็ถามชาวเน็ทว่าคิดไงกับคำโปรยหน้าปกนิยายแบบนี้วะคะ

ไม่น่าเชื่อเลยว่านิยายไทยสมัยนี้จะมีคำโปรยที่อุบาทว์ได้ขนาดนี้ ไม่รู้ตัดทอนมาจากเนื้อหาในเล่มรึเปล่า

แต่มันทำให้ชั้นนึกถึงประโยคในนิยายเรื่องนึงที่ตัวเอกกล่าวว่า

“โรคจิตอ้างเสรีภาพ แล้วเรียกมันว่าวรรณกรรม” ฉิบหายเลยว่ะค่ะ

ชั้นว่าชั้นอ่านนิยายโรแมนติคของฝรั่งมาก็เยอะนะ ยังไม่เคยเจอเล่มไหน

ที่มันใส่คำโปรยได้หยาบคายต่ำช้าและเหยียดหยามเพศแม่ถึงเพียงนี้มาก่อนเลย

เผลอๆไอ้คนที่พูดประโยคคำโปรยนี้ในนิยาย มันอาจจะไม่ได้มองผู้หญิงว่าเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ

■

ถ้าเรายอมรับว่าการขึ้นคำโปรยแบบนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ต่อไปในภายภาคหน้า

หี ควย จิ๋ม เย็ด แหก บลาๆ ได้ปรากฏโฉมที่คำโปรยหน้าปกโดยพร้อมเพียงกันอย่างแน่นอน

■

ชาวเน็ทก็แสดงความเห็นว่า คำโปรยแบบนี้แม่งโคตรน่าขยะแขยงโคตรๆเลยค่ะ

ว้ายย อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก คำโปรยหนังสือยังต่ำตมขนาดนี้แล้วเนื้อหาข้างในจะขนาดไหน

■

บางคนก็บ่นว่า หนังสือที่มีคำโปรยแบบนี้ได้รับการตีพิมพ์ก็ว่าน่าแปลกใจแล้ว

แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือมันติดอันดับหนังสือขายดีด้วยว่ะค่ะ ถถถถถถถถ

■

ทีนี้มันเริ่มดราม่าเมื่อมีคนชื่อ ฝันเฟื่องดีกว่าโง่เขลา ออกมาสยายปีกปกป้องนักเขียน เจ้าของคำโปรยสุดสยิว

โดยกล่าวถึงภัสรสา ว่า หล่อนเปิดประเด็นแบบนี้มันไม่ได้มีเจตนาติดเพื่อก่ออย่างสร้างสรรค์

แต่หล่อนเจตนาจะประณามหยามเหยียดนักเขียนคนนั้นกันชัดๆเลยนี่หว่า

หล่อนรู้ไหมว่าคนดีกับคนโลกสวยนั้นต่างกันอย่างไร คนดีนั้นจะมองโลกด้วยความงดงาม

มีความกรุณามุทิตาอุเบกขา ไม่ตัดสินใครด้วยอคติส่วนตัวของตน แต่หล่อนมันไม่ใช่

หล่อนเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา หล่อนเคยคิดถึงหัวอกของคนเขียนนิยายบ้างมั้ย

หล่อนรู้มั้ยว่าหล่อน ทำให้มีคนด่านักเขียนมากมาย ทั้งๆที่ความผิดมันเป็นของสำนักพิมพ์

ถ้าไม่มีคนที่ชอบอ่านนิยายแนวนี้ และสำนักพิมพ์มันไม่เปิดรับนิยายพรรค์นี้มาพิมพ์ขายก็จบแล้ว

■

ภัสรสาแย้งว่าอย่าโบ้ยความผิดไปให้สำนักพิมพ์กับคนอ่านทั้งหมดสิวะคะ

ถ้านักเขียนมันมีจิตสำนึก ไม่เขียนนิยายพรรค์นี้ส่งต้นฉบับ แล้วสำนักพิมพ์มันจะเอาต้นฉบับที่ไหนมารวมเล่มล่ะ

อย่าโยนขี้ให้คนนู้นคนนี้เลย มันไร้ประโยชน์สิ้นดี แล้วประเด็นที่ชั้นต้องการสื่อ ไม่ใช่ตำหนิคนเขียน

แต่อย่างน้อยก็ควรมีการจัดโซน จัดเรตติ้งให้กับนิยายทำนองนี้ หรือไม่ก็ไม่ควรมีคำโปรยอุบาทว์ๆแบบนี้ที่หน้าปกอีก

■

คนในแวดวงวรรณกรรมที่เห็นด้วยกับภัสรสา ก็บอกว่างานนี้กรูเห็นด้วยสุดตีนส์ว่ะ

คนที่ทำงานด้านนี้ มันต้องมีชั้นเชิง มีทักษะในการเขียนให้สละสลวยน่าอ่าน

ต่อให้บทอัศจรรย์มันติดเรทเย็ดกันป้าบๆๆๆๆขนาดไหน คนที่มีทักษะก็น่าจะนำเสนอ

ให้มันออกมาน่าอ่านแบบมีชั้นเชิงได้ ไม่ใช่สำรอกความใคร่ออกมาเป็นตัวหนังสือแบบนี้

ถ้าเรายอมรับคำโปรยในลักษณะนี้ได้ แล้วอีกหน่อยวรรณกรรมไทยที่ลูกหลานเราอ่านจะเป็นยังไงวะ

คนที่เป็นนักเขียนน่ะ หัดมีสำนึกรักงานเขียนของตัวเองหน่อย เพราะสิ่งที่เราเขียน

จะส่งอิทธิพลต่อไปยังนักเขียนรุ่นต่อไปอีกหลายๆรุ่น อย่าให้วงการวรรณกรรมไทยมาพังพินาศย่อยยับเพราะน้ำมือพวกเราเลย

■

ฝันเฟื่องฯก็ถามกลับว่าเอ็งอยากให้นักเขียนมีจิตสำนึก ไม่เขียนเรื่องบัดสีแบบนี้

แต่ถ้ายังมีคนอยากอ่านนิยายที่พระเอกลากนางเอกไปลงแขกป้าบๆๆ และสำนักพิมพ์ก็พร้อมตอบสนองคนอ่าน

แล้วมันจะห้ามไม่ให้นักเขียน เขียนนิยายอีโรติคออกมาพิมพ์ขายได้ไง๊ จะบอกให้นักเขียนปรับปรุงตัวฝ่ายเดียวไม่ได้

มันต้องปรับปรุงกันหมดทั้งสามฝ่าย ทั้งนักอ่าน นักเขียน แล้วก็สำนักพิมพ์

ส่วนอีภัสรสานี่ นิยายที่หล่อนเขียนนางเอกโคตรจะอารีมีเมตตา

แต่ทำไมตัวหล่อนถึงไม่รู้จักมีเมตตาให้กับนักเขียนคนอื่นมั่งวะคะ

ก่อนที่หล่อนจะตัดสินนักเขียนคนอื่นหล่อนหัดตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาก่อนดีกว่ามั้ย

■

ภัสรสาก็สวนกลับว่าชั้นก็ตัดสินคนจากการกระทำนั่นล่ะว่ะค่ะ แค่เห็นคำโปรยสุดอุบาทว์นั่น

ความเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาที่มีอยู่น้อยนิดของชั้นแม่งก็ระเหยเป็นควันไปหมดแล้วย่ะ

ส่วนหล่อนถ้าจะตัดสินชั้นยังไงก็ตามสะดวก แต่ขอร้อง อย่าเอาหนังสือที่ชั้นเขียนมาเกี่ยวข้องเลย

แค่นี้ก็มีข่าวลือกันให้แซ่ดว่าชั้นเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะอยากเกาะนักเขียนคนนั้นดังแล้วนะยะ คริคริคริ

■

ชาวเน็ทที่เห็นด้วยกับภัสรสาก็สนับสนุนว่างานนี้ต้องโทษนักเขียนเป็นอันดับแรกว่ะ

เพราะต้นธารของหนังสือใดๆมันมาจากนักเขียน ถ้าไม่มีคนเขียนนิยายพรรค์นี้

แล้วสำนักพิมพ์จะมีงานมาพิมพ์ขายให้เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานได้อ่านฉากข่มขืนลงแขกป้าบๆๆๆได้อย่างไร

■

ชาวเน็ทคนนึงที่เห็นด้วยกับฝันเฟื่องฯก็บอกกับภัสรสาว่าก่อนที่หล่อนจะเอาหนังสือของนักเขียนคนอื่น

มาประจานในเน็ทให้สังคมรุมประชาทัณฑ์น่ะ หล่อนเคยเข้าไปเตือนทางนักเขียนหรือสำนักพิมพ์บ้างมั้ย

ไม่ใช่ว่าไม่ได้ตักเตือนอะไรเขาเลย จู่ๆก็ลากเขามาให้ชาวบ้านรุมกระทืบซะแล้ว ถึงความคิดของหล่อนจะถูกต้อง

แต่การกระทำของหล่อนมันไม่ควร เหมือนคนไม่มีมารยาทยังไงยังงั้น แล้วหล่อนวิจารณ์แต่คำโปรยว่าอุบาทว์

ส่วนเนื้อหาข้างในเล่มน่ะเป็นยังไง หล่อนได้พิจารณาแล้วหรือยัง คนอย่างหล่อนถึงจะทำอะไรโดยอ้างเจตนาดี

แต่ถ้าวิธีการของหล่อนมันดีแต่เปลือก สิ่งที่หล่อนทำมันก็ไม่มีทางดีงามได้หรอกว่ะ

ต่างจากพวกชั้นที่ถึงจะคลั่งไคล้ในสิ่งชั่วช้า แต่เมื่อพวกชั้นกลับใจมันจะส่องสว่างดีงามยิ่งกว่าพวกดีแต่เปลือกหลายเท่า

■

ฝันเฟื่องฯก็เสริมว่าถูกต้องแล้ว หล่อนควรให้โอกาสนักเขียนหรือสำนักพิมพ์ได้ชี้แจง

หรือแสดงความเสียใจบ้าง ก่อนที่พวกหล่อนจะรุมด่าเขาเสียๆหายๆแบบนี้

คนทำผิดแค่ครั้งเดียว พวกหล่อนจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาเริ่มต้นใหม่เลยหรือ

นี่น่พหรือเมืองพุทธ พวกมึงคิดว่าตัวเองดีพร้อมทุกด้านจนสามารถตัดสินว่านักเขียนคนนี้

ไม่คู่ควรที่จะอยู่ในแวดวงวรรณกรรมกับนักเขียนผู้เปี่ยมล้นจริยธรรมอย่างพวกมึงใช่ไหม

มีใครในที่นี้แน่ใจว่าตัวเองดีงามบริสุทธิร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เคยก่อกรรมทำเข็ญใดๆมั่งวะ ยกมือให้ดูหน่อยเด๊ะ

■

ภัสรสาก็สงสัยว่า ทำไมชั้นต้องไปเตือนนักเขียน เตือนสำนักพิมพ์ก่อนด้วยวะคะ

ก็ในเมื่อชั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตของสำนักพิมพ์นี่หว่า

ถ้าสำนักพิมพ์มันถึงขั้นพิมพ์หนังสือที่มีคำโปรยแบบนี้ออกมาวางขายได้ แปลว่ามันต้องคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว

ถ้าหล่อนบอกว่านี่คือการประจาน งั้นหนังสือมันก็คงประจานตัวเองตั้งแต่ต้นแล้วล่ะค่ะ

แหม่ ก็พาดคำโปรยซะเด่นหราขนาดนั้น แทนที่พวกหล่อนจะออกมาปกป้องนักเขียน

หรือฟาดงวงฟาดงาใส่ชั้นเนี่ย หล่อนเอาเวลาไปเตือนสำนักพิมพ์ให้มันแก้คำโปรยก่อนดีกว่ามั้ย

■

ชาวเน็ทก็สงสัยว่าการที่ภัสรสาเอาแค่คำโปรยมาโพสแบบนี้มันประจานกันตรงไหนวะ

ถ้าเขาอยากจะประจานจริงๆ สู้ถ่ายหน้าปกทั้งเล่มมาให้เห็นกันจะๆเลยไม่ดีกว่าหรือ

ของแบบนี้ ถ้าไม่มีคนออกมาเปิดประเด็น สังคมจะรู้มั้ยว่ามีนิยายแบบนี้ขายให้เด็กอ่านอยู่

แล้วอีฝันเฟื่องอะไรนี่จะลากประเด็นไปเรื่องเมืองพุทธ กับใครไม่เคยทำผิดทำห่าอะไรวะ

ถ้ามึงอยากเห็นเมืองนี้ดีงามสมดังนิยามของเมืองพุทธ แต่มึงกลับสนับสนุนนิยายที่มีฉากข่มขืน ชั้นว่ามันไม่ใช่แล้วล่ะค่ะ

■

ส่วนประเด็นที่ว่ามีใครไม่เคยทำผิด มีใครดีพร้อมบ้าง ความจริงคือมนุษย์ขี้เหม็นไม่มีใครดีพร้อมหรอกนะ

แต่จำเป็นหรือที่ต้องให้คนดีพร้อมมาตักเตือนว่าคำโปรยอุบาทว์ๆนั้นมันไม่ถูกต้อง

ถ้าต้องให้คนที่ดีพร้อมทุกด้าน ไม่เคยทำผิดใดๆซักครั้งในชีวิตเท่านั้นเป็นคนตักเตือนกัน

คงไม่มีใครสามารถตักเตือนใครได้แล้วล่ะว่ะ เพราะทุกคนมันก็เคยทำผิดพลาดกันทั้งนั้น

แม้กระทั่งพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเราก็ล้วนเคยมีเรื่องผิดพลาดมาก่อน

แล้วการวิจารณ์คำโปรยของนิยายเรื่องนึง ทำไมต้องบอกนักเขียนหรือสำนักพิมพ์ก่อน ถึงจะมีสิทธิวิจารณ์ได้วะ

ในเมื่อพวกหล่อนพิมพ์นิยายเล่มนี้มาวางขายเด่นหราในร้านหนังสือ พวกชั้นก็มีสิทธิที่จะวิจารณ์สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าได้สิวะ

■

ถ้าหล่อนริจะเป็นนักเขียน และสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาซักชิน ก็ควรรับได้ทั้งดอกไม้และก้อนอิฐสิวะ

ไม่ใช่ว่าถ้ามีคนชมก็รับคำชมนั้นต่อหน้าสาธารณะอย่างหน้าชื่นตาบาน พอมีคนวิจารณ์เข้าหน่อยก็ไม่พอใจ

โวยวายว่าทำไมไม่มาเตือนกันก่อน แบบนี้มันเจตนาร้ายกันชัดๆ  บลาๆ

■

แล้วอีพวกลูกหาบที่ออกมาปกป้องนักเขียนคนนี้ก็เหมือนกัน มึงจะปกป้องมันทำไม

คำวิจารณ์นี้มันของดี มึงรับฟังแล้วเก็บไปปรับปรุงตัวเอง ผลงานชิ้นหน้าจะได้ดีขึ้น

ไม่ถูกคนวิจารณ์แบบนี้อีก หรือมึงอยากให้นักเขียนคนนี้หลับหูหลับตาไม่ฟังเสียงวิจารณ์

แล้วผลิตผลงานที่มีฉากเหมือนในคำโปรยป้อนให้สังคมไทยไปชั่วนิรันดร์วะคะ

ขนาดชาติกอบกิตติ ที่เขาเขียนนิยายแรงๆอย่าง พันธ์หมาบ้า (กับคำพิพากษา)

เนื้อหานิยายแม่งฮาร์ดคอร์โคตรๆ เขายังไม่ใช่คำว่าควยตรงๆเลย แต่ใช้คำว่ากล้วยแทน

ลูกเล่นการใช้คำแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้นิยายฮาร์ดคอร์เหมือนกัน

แต่ของชาติกอบกิตติ กลับมีสกุลรุนชาติกว่านิยายเรื่องนี้หลายเท่าตัวนัก

■

เถียงกันไปเถียงกันมาฝันเฟื่องฯก็เบี่ยงประเด็นโดยเอาภาพของนิยายเล่มที่กำลังโจษจัณกันอยู่บนชั้นหนังสือ

และอยู่ในตำแหน่งที่ขายดีกว่านิยายของภัสรสาหนึ่งอันดับมาโพสเพื่อสื่อว่า นี่ใช้มั้ยสาเหตุที่ทำให้หล่อนมาดราม่าเรื่องนี้

■

ภัสรสาตอบว่า หล่อนจะจินตนาการว่าชั้นขี้อิจฉาริษยายังไงก็เชิญเลยย่ะ ชั้นไม่ถือ

แต่พอหล่อนด่าชั้นจบแล้ว หล่อนตอบชั้นมาซักคำให้ชื่นใจทีเด๊ะ ว่าคิดยังไงกับคำโปรยสุดอุบาทว์อันนั้น

■

ชาวเน็ทก็ถกเถียงกันรัวๆว่าต่อให้ภัสรสาอิจฉาหรือไม่อิจฉา แล้วไงวะ

มันทำให้คำโปรยที่สนับสนุนการข่มขืน กลายเป็นสิ่งดีงามมีรสนิยมขึ้นมาได้งั้นเรอะ

ถ้าของมันเหี้ย ต่อให้คนหยิบยกมาวิจารณ์เป็นเทวดานางฟ้า มันก็เหี้ยอยู่ดีนั่นแหละ

การพยายามจ้องโจมตีคนวิจารณ์แบบนี้เขาเรียกว่าวิธีการโต้เถียงแบบตรรกะวิบัติ

และเป็นวิธีการที่น่ารังเกียจ ไร้เหตุผล และโลวคลาสโคตรๆเลยนะเค๊อะ

■

■

หลังจากนั้นฝั่งที่อวยนักเขียนก็ด่ากับภัสรสาและชาวเน็ทรัวๆ ล่าสุด สนพ ได้ออกมาแจงว่า

“คนเจตนาดีย่อมทักท้วงหรือตักเตือนทางหลังไมค์ก่อน เราพร้อมรับฟังคำตักเตือนเสมอ

ส่วนคนที่มุ่งร้ายนั้น วิธีการที่ทำมันย่อมส่อเจตนาให้เห็นว่ามุ่งร้าย มุ่งสร้างความฉิบหายให้กับเราอยู่แล้วค่ะ

คนมีการศึกษากันแล้ว ตักเตือนกันดีๆก็ได้นี่คะ ทำไมต้องมาเหยียดหยามกันด้วยฟะ เสียทีที่เป็นนักเขียน มีผลงานมาแล้วก็ตั้งหลายเล่ม”

■

ก็สมแล้วนะครับที่พิมพ์นิยายที่ขึ้นคำโปรยแบบนั้นบนปกออกมาได้ ถถถถถถถถถถถถถถถ

อันนี้เป็นอะไรที่น่ากังวลนะเพราะทุกวันนี้ค่านิยมเรื่องการข่มขืนมันยังอยู่คู่สังคมไทยไม่เลือนหายไปไหน

มีตั้งแต่โทษฝ่ายหญิงว่าแต่งตัวโป๊ทำไมสมควรถูกข่มขืน นิยาย หนัง บางเรื่องก็ลงโทษนางอิจฉาด้วยการข่มขืน

บางเรื่องก็สร้างภาพว่าพระเอกข่มขืนนางเอกแล้วสุดท้ายลงเอยกันด้วยดี จบลงด้วยความรักอย่างสวยงาม

พี่น้องครับ นั่นคือเรื่องสมมุติทั้งนั้น การข่มขืนนั้นไม่เคยจบลงแบบสีชมพูเช่นนั้นหรอกครับ

มันมีแต่จะจบลงด้วยการติดเชื้อติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ถูกสังคมดูถูกเหยียดหยาม

ถูกโรงเรียนสถาบันการศึกษาขับไล่ออกเพราะกลัวจะทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง

หรือเลวร้ายที่สุดก็อาจตายอยู่ข้างทางในพงหญ้าที่เปล่าเปลี่ยวไม่มีใครพบเห็นจนกระทั่งศพเน่าเหม็น หนอนแมลงวันชอนไช

แต่ต่อให้เรารณรงค์เปลี่ยนแปลงค่านิยมนี้ยังไงก็คงเปล่าประโยชน์ ก็ในเมื่อนิยายที่มีฉากข่มขืนมันขายดีซะขนาดนั้นนนน

■

เดบิทภาพ External Link

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร

External Link

https://www.facebook.com/…/10153474249564207

https://www.facebook.com/…/971897886165396?…

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่เพจ Dad mom and Kids ที่เป็นเพจทางการแพทย์เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกอะไรเทือกนั้น

เขาอัพบทความว่าด้วยการเลี้ยงลูก และเกมคอมพิวเตอร์ ว่า พ่อแม่ควรห้ามลูกเล่นเกมโดยเด็ดขาด

โดยแอดมินให้เหตุผลว่า เพราะเกมพวกนี้มันเสพติด ยิ่งเล่นก็ยิ่งเพลิน ดังนั้นเราต้องป้องกันไม่ให้เด็กเสพติดเกม

■

แอดมินบอกว่า เกมที่เด็กเล่นแล้วติดง่ายมีทั้งเกมที่เนื้อหารุนแรง เกมที่เกี่ยวกับเพศ เกมที่เกี่ยวกับกีฬา(?)

หรือเกมที่เล่นได้หลายคน มีคะแนนเอาไว้ให้อวดเพื่อน (ที่ว่ามานี่มันคือเกมทุกชนิดเลยนี่หว่า)

เมื่อเด็กเล่นเกมนี้จนเพลินวันละหลายๆชั่วโมง เด็กเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนรุนแรง เลือดเย็น หมกมุ่นในเรื่องเซ็กส์

มีพ่อแม่คนไหนบ้างที่อยากเห็นลูกกลายเป็นเด็กขี้เงี่ยนหัวรุนแรงแบบนั้น

แต่น่าแปลกที่คนไทยจำนวนไม่น้อยกลับสนับสนุนให้เด็กเล่นเกม

■

โดยมีข้ออ้างว่า เล่นแล้วฝึกให้การทำงานของมือกับตาประสานกันเอย

ส่งเสริมพัฒนาการเอย ส่งเสริมสติปัญญา ก้เครียดเอย บลาๆ โกหกทั้งนั้น

เกมมันไม่มีข้อดีกับเด็กเลย มีแต่ข้อเสีย เช่นทำให้เด็กเครียดมากขึ้น ทำให้เด็กติดเกม

ดังนั้นเราต้องห้ามลูกไม่ให้เล่นเกมซะ ถ้าลูกมันไม่พอใจก็ปล่อยมันไป

อย่าลืมว่าเราเป็นพ่อแม่มัน เงินที่จ่ายค่าไฟให้มันเล่นเกมก็เงินเรา

ดังนั้นพ่อแม่คือเจ้าบ้าน พวกเรามีสิทธิที่จะตั้งกฏให้ลูกมันปฎิบัติตาม

ยกเว้นเสียแต่ว่าลูกมันเป็นคนทำงานหาเงินจ่ายค่าไฟ ถ้าแบบนั้นก็ปล่อยให้มันเล่นเกมไปเหอะ

■

สรุปว่าไม่ต้องให้ลุกเล่นเกมใดๆทั้งสิ้น เพราะเสียเวลา สิ้นเปลืองค่าไฟ ค่าเติมเงินในเกม

เสียสุขภาพ ไม่เป็นอันเรียนหนังสือหนังหา เสียวินัย ทำให้กลายเป็นเด็กเละเทะไร้อนาคต

ถ้าพ่อแม่เห็นลูกเล่นเกมเมื่อไหร่ ก็เอามันไปทิ้งนอกบ้านให้หมด ถ้าลูกมันเล่นเกมในมือถือ

ก็ลบเกมในมือถือ ในแท็ปเล็ททิ้งให้หมด ลูกมันจะไม่พอใจยังไงก็ช่างหัวมัน

เพราะเกมมันเป็นสิ่งอันตรายร้ายแรง เทียบเท่ากับ การพนัน หรือยาเสพติด เลยทีเดียว

■

ชาวเน็ทที่เล่นเกม อ่านบทความนี้แล้วก็ตกใจ สงสัยว่ากิจกรรมที่กรูเล่นเป็นงานอดิเรก

ในสายตามึงมันอันตรายเทียบเท่าการพนันและยาเสพติดเลยเหรอวะ จะเว่อร์ไปมั้ย

ถ้าเมิงให้เด็กเลิกเล่นเกม แต่ไม่สามารถหากิจกรรมอื่นที่สนุกและสมกับวัยเด็กมาให้เด็กเล่นได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะ

ก่อนที่เอ็งจะโทษเกมว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กติดเกมอ่ะ ได้ลองหาสาเหตุอื่นที่ทำให้เด็กติดเกมแล้วหรือยัง

เช่น พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกวันๆเอาแต่ทำงาน จนเด็กไม่รู้จะทำอะไรก็เลยไปเล่นเกมแทน อะไรงี้

ถ้าสาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกมเป็นเพราะเรื่องนี้ มันควรแล้วเหรอวะที่จะโทษเกมว่าเป็นตัวสร้างปัญหาให้เด็ก

■

■

ขุ่นแม่ท่านนึงอ่านบทความนี้จบก็ถามแอดมินว่า ที่บ้านกำลังมีปัญหาเรื่องนี้พอดีเลยค่ะ

แบบว่าสามีชั้นเขาอยากให้ลูกเล่นเกมเพื่อผ่อนคลาย แต่ชั้นไม่ให้ จะให้ลูกหยุดเล่นเกมทันที

แต่สามีก็เข้าข้างลูก ชั้นเลยส่งบทความนี้ไปให้อ่านจนกลายเป็นว่าชั้นทะเลาะกับสามีเรื่องนี้แทน

ไม่ทราบว่าชั้นควรจะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดีคะ แบบว่าลูกชั้นก็ไม่พอใจที่แม่ไม่ให้เล่นเกม

จนเขาบ่นว่าเกลียดแม่แล้ว ชั้นควรจะพูดยังไงให้ลูกกับสามีเชื่อฟังชั้นดี

ปล เกมที่ลูกชั้นเล่นคือเกมเต้น กับเกม ไมน์คราฟท์ค่ะ

■

ไมน์คราฟท์ เป็นเกมแนว sandbox ที่จำลองให้เราอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้นไม้ใบหญ้า

อิฐหินดินทรายยันสรรพสัตว์ เป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ทั้งหมด เกมนี้เราเล่นเป็นมนุษย์

ที่สามารถทำอะไรก็ได้ในเกมอย่างอิสระสุดๆ เช่น จะขุดดิน ขุดหิน โค่นต้นไม้

เอามาสร้างบ้าน สร้างปราสาท สร้างธนูไว้ล่าสัตว์ สร้างจอบเสียมไว้ทำไร่ไถนา ปลูกข้าว ปลูกเห็ด

เอาผลผลิตที่ได้มาปรุงอาหาร ขุดดินลงไปลึกๆเพื่อค้นหาแร่ธาตุมีค่าเอามาสร้างอาวุธ

อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ที่ทนทาน หรือจะตีดาบตีเกราะแบบธนูออกผจญภัยล่าสัตว์ประหลาด

ผจญภัยในดันเจี้ยนลอยฟ้า ดันเจี้ยนใต้ดินก็ได้ ถ้าลูกคุณเป็นเด็กที่ชอบสร้างนู่นสร้างนี่

ลูกคุณอาจขุดหิน ขุดดิน มาสร้างปราสาทยุโรปสวยๆซักหลัง หรือจะขุดเหมืองมอเรีย

สร้างเมืองมินาธทิริธเหมือนในหนังลอร์ดออฟเดอะริงก็ยังได้ หรือถ้าลูกคุณสนใจเรื่องวงจรกลไก

เกมไมน์คราฟ์ก็มีระบบกลไกให้เล่น ซึ่งสามารถเอาไปสร้างกลไกต่างๆได้ตามไอเดียของลูกคุณ

ยกตัวอย่างเช่น จ่าเคยเล่นเกมนี้ แล้วทำระบบฟาร์มปศุสัตว์ เลี้ยงหมูเลี้ยงวัว ปริมาณมากๆ

แล้วกดสวิทซฺโชะเดียว ระบบจะส่งหมู วัวเข้าสายพานลำเลียงเอาไปเชือดแล้วเผา

ออกมาเป็นเนื้อย่างหมูย่าง เก็บไว้แดกในเกมกันจนพุงกาง หรือจะทำระบบฟาร์มปลูกข้าว

เก็บข้าวอัตโนมัติก็ได้ ทำฟาร์มไก่ ฟาร์มไข่ก็ยังได้นะเออ หลังๆนี่เกมพัฒนาไปมากแล้ว

ระบบที่ซับซ้อนกว่าที่จ่าพูดถึงนี่มีคนทำกันเยอะแยะ บางคนแม่งครีเอทถึงขั้น

ทำวงจรคอมพิวเตอร์ของจริงในเกมไมน์คราฟ์เลยนะเออ ปัจจุบันเกมนี้ได้รับการยอมรับในนานาประเทศแล้วว่า

เป็นเกมที่ดี ช่วยสร้างสรรค์จินตนาการ จุดประกายทักษะและความสนใจในด้านต่างๆให้กับเด็ก

หลายๆประเทศ เช่น ไอร์แลนด์ แจกเกมนี้ให้เด็กเอาไปเล่นเพื่อการศึกษาด้วยซ้ำ

■

แอดมินตอบว่า ยังไงก็ต้องทำให้สามีเข้าใจให้ได้ เขาจะได้ช่วยคุณทำยังไงก็ได้ไม่ให้ลูกติดเกม

■

ชาวเน็ทที่ไม่เห้นด้วยก็แย้งว่า สังคมต่างประเทศเขาไม่ได้ห้ามลูกเล่นเกมเหมือนบ้านเรานะ

ถ้าลูกอยากเล่นเกม ก็ให้เขาเล่น แล้วแม่ก็ไปเล่นกับลูกด้วยอีกคนดิ

■

■

และเกมไมน์คราฟท์เนี่ย มันเป็นเกมที่ดีนะเออ เป็นเกมที่สร้างสรรค์เหมือนๆการต่อเลโก้นั่นแหละ

ขนาดอเมริกายังบรรจุเข้าไปในหลักสูตรการศึกษา ถ้าจะห้ามไม่ให้ลูกเล่น คงได้ทะเลาะกับกระทรวงศึกษากันมันส์เลยมั้ง

■

มีขุ่นแม่คนนึงบอกว่า ลูกของเธอทุกวันนี้ก็ยังเล่นเกมอยู่ แต่เธอกำหนดวันเวลาที่ให้เล่นเกมได้วันละชั่วโมง

และเลือกเกมที่ไม่รุนแรงให้ลูกเล่นและจะให้ลูกเล่นเกมถ้าตั้งใจเรียนกับช่วยทำงานบ้านเท่านั้น

แต่พออ่านบทความนี้จบแล้วสงสัยว่าถ้าให้ลูกเลิกเล่นเกมเด็ดขาดเลยมันจะดีจริงๆเหรอ

เพราะเธอให้ลูกเล่นเกมเป็นความบันเทิงเล็กๆน้อยๆตอบแทนที่ลูกเธอตั้งใจเรียนและช่วยทำการบ้านอ่ะ

■

แอดมินตอบว่า ขุ่นแม่อย่าคิดว่าเกมมันมีข้อดีสิ ถ้าขุ่นแม่คิดว่าเกมมันมีข้อดีแม้แต่ข้อเดียว

แล้วยอมให้ลูกเล่นเกม เท่ากับขุ่นแม่ปล่อยให้ลูกไปเสี่ยงกับการติดเกม เหมือนติดยาติดการพนันเชียวนะเออ

■

ขุ่นแม่คนอื่นๆที่อ่านบทความนี้แล้วเห็นด้วยก็มาขอบคุณแอดมินกันใหญ่ที่ช่วยสนับสนุนแนวคิดของเขา

มีขุ่นแม่คนนึงบอกว่า จากเดิมที่เธอให้ลูกเล่นเกมแบบกำหนดเวลา พออ่านบทความนี้จบปุ๊บ

เธอว์จะหักดิบ สั่งลูกให้เลิกเล่นเกมตลอดกาล ตลอดไปเลยล่ะคร่าาาาาาา

อาจจะดูเหมือนโหดร้ายกับลูกไปหน่อย แต่มันดีกับลูกในระยะยาวมากกว่าเนอะ

■

แอดมินก็บอกว่า ถูกต้องแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ถือว่าโหดร้ายและประณีประณอมไม่ได้

เพื่ออนาคตของลูก แม่ต้องส่งให้ลูกเลิกเล่นเกมทุกชนิดสถานเดียวเท่านั้น

แล้วซักวันนึง ลูกๆจะซาบซึ้งกับการหักดิบอันหาญกล้าของขุ่นแม่

■

ชาวเน็ทก็เตือนว่า ถ้าขุ่นแม่ไปหักดิบลูกเอาดื้อๆแบบนั้น ระวังลูกมันจะเก็บกดนะเออ

เผลอๆอาจเกิดผลเสียมากกว่า เช่น เด็กหนีออกจากบ้านไปเล่นเกม หรือไม่ก็ขโมยเงินผู้ปกครองไปเล่นเกมที่ร้าน

เพราะเด็กวัยนี้มันก็อยากเล่นเกมเป็นเรื่องปรกติ ยังไงมันก็ต้องมีเล่นเกมกันบ้าง

ถ้าไม่อยากให้ลูกเล่นเกมทั้งวัน ก็กำหนดเวลาให้ลูกเล่นเกมแบบจริงๆจังๆ

หรือไม่ก็พาลูกไปทำกิจกรรมอื่นร่วมกันสิ ดีกว่าหักดิบไม่ให้เล่นเกมตลอดกาลตั้งเยอะ

■

■

■

มันอยู่ที่สถาบันครอบครัวนะว่าจะสอนให้ลูกซึมซับด้านดีหรือด้านลบจากเกม

แต่การที่แอดมินบังคับหักดิบให้ลูกห้ามเล่นเกมเด็ดขาด ลูกจะประท้วงยังไงก็ช่างมันเนี่ย

ไม่ทราบว่าเมิงกำลังสอนให้พ่อแม่เป็นเผด็จการเหรอวะครับ ใจคอจะไม่ให้ลูกได้หาอะไรบันเทิงๆมาเล่นบ้างเลยรึไง

เผลอๆก่อนเด็กมันจะโต มันอาจจะเครียดจนเฉาตายไปก่อนก็ได้ ทุกวันนี้ไอ้เด็กที่หนีออกจากบ้าน

มาเล่นเกมในร้านเกม ส่วนมากมันก็เป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่หักดิบห้ามเล่นเกมโดยเด็ดขาดทั้งนั้น

เด็กมันถึงหนีออกมามั่วสุมกันในร้านเกมไง แทนที่จะปล่อยให้ลูกไปเล่นเกมไกลหูไกลตากับใครที่ไหนก็ไม่รู้

สู้ให้ลูกเล่นเกมกับพ่อแม่ ที่เราสามารถดูแลอย่างใกล้ชิดและให้คำแนะนำลูกว่าอะไรถูกอะไรควรไม่ดีกว่าเรอะ

■

ขุ่นแม่อีกคนบอกว่าเธอก็เพิ่งจะสั่งลูกสาวหกขวบไม่ให้แตะไอแพดพอดีเลยล่ะค่ะ

เพราะเห็นลูกสาวเธอวันๆเอาแต่เล่นไอแพด ไม่กินข้าวปลาไม่ยอมอาบน้ำ

วันๆเอาแต่ดูหนังดูละครในยูทิวป์อยู่นั่นแหละ เธอว์ก็เลยห้ามลูกเล่นไอแพดซะเลย

จากนี้ไปจะให้ลูกแตะไอแพดเฉพาะตอนหาข้อมูลเรื่องการเรียนเท่านั้น

ซึ่งแอดมินก็ตอบว่าสิ่งที่ขุ่นแม่ท่านนี้ทำนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว

■

แต่ชาวเน็ทไม่เห็นด้วย ถามขุ่นแม่ว่าขุ่นแม่มไม่คิดบ้างหรือว่าอนาคต

ลูกสาวขุ่นแม่อาจจะถามแม่ว่า ทำไมเด็กคนอื่นๆเขาเล่นได้

แต่ลูกสาวขุ่นแม่ถึงไม่ได้เล่นเกม ไม่ได้เล่นไอแพดเหมือนเพื่อนๆบ้างเลย

แล้วลูกสาวขุ่นแม่ก็จะมีทางเลือกแค่สองทาง หนึ่ง คือไม่รู้จะคุยอะไรกับเพื่อน

เพราะไม่รู้จักว่าสิ่งที่เพื่อนๆเขาคุยกันอยู่มันหมายถึงอะไร

สอง แอบแม่ไปเล่นไอแพด จะได้คุยกับเพื่อนรู้เรื่องบ้าง ถ้าลูกเลือกข้อสอง

ขอให้ขุ่นแม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย เพราะเมื่อเขาแหกกฏที่ขุ่นแม่ตั้งซักครั้ง

แล้วรู้สึกว่า เออ มันก็เข้าท่าดีนะ หลังจากนั้นลูกก็จะแหกกฏอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ เมื่อนั้นแหละที่ขุ่นแม่จะเจอปัญหาเข้าจริงๆ

■

มีคนถามแอดมินว่า แล้วถ้าเกิดลูกย้อนถามแม่ว่า ขนาดแม่ยังเล่นเฟซบุ๊คได้

ทำไมลูกถึงเล่นเน็ท เเล่นไอแพด เล่นเกมมั่งไม่ได้ล่ะ จะให้ตอบลูกว่ายังไง

แอดมินตอบว่า มันไม่เกี่ยวกันว่ะ เพราะลูกมีหน้าที่ตั้งใจเรียนไง

และตอนนี้ลูกอยู่ในความปกครองของแม่ แม่ต้องปกป้องลูกจากอบายมุขพวกนั้น เข้าใจตรงกันนะ

■

ชาวเน็ทก็โวยว่าถ้ามึงจะคิดแบบนั้น เอากะลามาครอบหัวลูกไม่ให้เขารับรู้โลกภายนอกเลยมั้ยวะ

อย่าลืมนะว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูกไปตลอดกาล ซักวันนึงเอ็งย่อมตายจากไป

เมื่อถึงตอนนั้น เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ลูกจะทำยังไง ถ้าชีวิตเขาอยู่ใต้สิ่งที่พ่อแม่ปูให้มาโดยตลอด

จะให้โลกของเขาทั้งใบพังทลายลงมา พร้อมๆกับการจากไปของพ่อแม่เหรอวะ

■

มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะห้ามไม่ให้เด็กแตะเกม แตะมือถือแท็ปเล็ทในยุคนี้

เด็กมันก็ต้องเข้าสังคม มีเพื่อนๆในวัยเดียวกัน เพื่อนมันเล่นเกม จะไม่ให้ลูกเราเล่นเกมแล้วมันจะคุยกันรู้เรื่องได้ไง

แอดมินเอ็งอย่าใช้คำว่าเสพติดกับการเล่นเกม นี่เกมนะ ไม่ใช่ยาบ้าหรือกัญชา

ประเด็นอยู่ที่ว่าเด็กจะติดเกมหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการดูแลของพ่อแม่เป็นสำคัญ

■

การที่เอ็งบอกให้พ่อแม่ห้ามลูกแตะนู่นแตะนี่โดยเด็ดขาด แทนที่จะบอกให้เขาเข้าใจว่าลูกเล่นอะไรอยู่

แล้วแนะนำให้ลูกไปในทางที่ถูกต้อง มันก็แค่การปัดความรับผิดชอบในการสอนลูกไปให้พ้นๆเท่านั้นแหละ

■

แล้วเอ็งพูดมาได้อย่างไรว่าลูกจะโต้แย้งยังไงก็ช่าง ให้เราใช้สิทธิในฐานะพ่อแม่สั่งให้ลูกทำตามสถานเดียว

การกระทำแบบนี้มันใช่การกระทำของคนเป็นพ่อแม่เหรอวะ นั่นลูกนะไม่ใช่นักโทษ และพ่อแม่ก็ไม่ใช่ผู้คุมเรือนจำด้วย

สถาบันครอบครัวจะมั่นคงได้ เมื่อพ่อแม่ลูกเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่พ่อแม่สั่งให้ลูกทำอะไรแล้วต้องทำตามทุกอย่าง

■

การสั่งให้เด็กทำทุกอย่างตามที่พ่อแม่สั่ง ให้ลูกอยู่แต่ในโลกที่พ่อแม่วางกรอบเอาไว้

จะทำให้เด็กกลายเป็นแค่หุ่นยนต์ที่ไม่สามารถคิด ตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเอง

แล้วการห้ามไม่ให้เด็กใช้มือถือ แท็ปเล็ท เอ็งไม่กลัวว่ามันจะทำให้เด็กไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีรึไงวะ

ชั้นเนี่ยเป็นตัวอย่างของคนที่พ่อสั่งไม่ให้เล่นคอมพ์มาตั้งแต่เด็ก กว่าจะได้แตะคอมพ์ก็ตอน ม.1 แล้ว

อีเมล์ก็ไม่รู้จัก พิมพ์ดีดอะไรก็ไม่เป็น ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ทั้งหมด ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆเขานำโด่งไปไกลแล้ว

ใจคอมึงอยากจะให้ลูกตัวเองต้องประสบชะตากรรมเหมือนที่กรูเคยเจอมาจริงๆเหรอวะคะ

■

หลังจากนั้นชาวเน็ทที่ไม่เห็นด้วยก็เข้าไปดีเบทกับแอดมินรัวๆ ปรากฏว่าแอดมินลบ แบน เหี้ยนเลยว่ะครับ (ฮา)

ดราม่านี้ขอปิดท้ายด้วยข้อมูลทางการแพทย์ที่มีหลักฐานทางสถิติรองรับ

คือฝรั่งมันวิจัยกันเยอะนะ ว่าเล่นเกมมากๆแล้วจะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมและผลการเรียนของเด็กมั้ย

สมัยก่อนเชื่อกันว่าเกมทุกชนิดทำให้เด็กโง่ พฤติกรรมก้าวร้าว พัฒนาไม่ทันเพื่อน

แต่งานวิจัยหลังๆนี่มีตัวเลขทางสถิติยืนยันว่า ถ้าเป็นเกมทั่วไป เช่น พวกเกมอาร์เคด

เกมธรรมดาๆที่ไม่มีความรุนแรงปนอยู่ ไม่มีผลใดๆต่อผลการเรียนของเด็กเลย

ยิ่งถ้าเป็นเกมแนวพัซเซิลไขปริศนา หรือเกมที่เกี่ยวกับการศึกษา ยิ่งเด็กเล่นก็ยิ่งทำให้ผลการเรียนดีขึ้นด้วยซ้ำ

■

แต่!! ไอ้ที่ส่งผลกระทบกับพฤติกรรมเด็ก และผลการเรียนมันมีจริง
คือไอ้พวกเกมที่เนื้อหาโหดสัส ฆ่าล้างโคตร ยิงหัวระเบิดกันปิ้วๆๆๆๆๆ

■
ไอ้พวกนี้มีผลกระทบต่อผลการเรียน และพฤติกรรมของเด็กชัดเจน

รวมไปถึงการเล่นเกมนานจนเกินไปก็ส่งผลกระทบต่อเด็กได้เช่นกัน

งานวิจัยฉบับนี้ก็ยังไม่สรุปชัดเจนเพราะมีข้อจำกัดในการรวบรวมข้อมูลวิจัยอีกเยอะ

แต่คำแนะนำจากผู้วิจัยคือ การดูแลของพ่อแม่ช่วยในเรื่องนี้ได้ คือถ้าพ่อแม่ดูแลคอยแนะนำลูกอย่างใกล้ชิด

พบว่าแนวโน้มที่ลูกจะเล่นเกมที่มีเนื้อหารุนแรงมาก หรือเล่นเกมอย่างหมกมุ่นนานเกินไป

จนส่งผลกระทบต่อการเรียนและพฤติกรรม จะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

สรุป ปล่อยให้ลูกเล่นเกมได้ แต่พ่อแม่ต้องดูแลลูกให้ดีๆด้วยนะครับ

ว่างๆก็ไปเล่นเกมกับลูกบ้างถ้าเห็นเนื้อหาในเกมที่รุนแรงเกินไปก็ตักเตือนและแนะนำลูกดีๆ

จะช่วยให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุข ดีกว่าหักดิบห้ามไม่ลูกเล่นเกมใดๆเลยตลอดชีวิต

ข้อมูลอ้างอิง http://www.ncbi.nlm.nih.gov/…/

■

สุดท้ายแล้ว ทำงานวิจัยอะไรกันมากมาย บทสรุปก็ยังออกมาเหมือนเดิมอยู่ดี

นั่นคือการดูแลของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกๆ

ถ้าความสัมพันธ์ในสถาบันครอบครัวมั่นคง เกมห่าอะไรแม่งก็ทำอันตรายลูกคุณไม่ได้หรอกครัช

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร? ใครมีพ่อแม่ติดเกมมั่งยกมือขึ้น (ปล แม่จ่าเล่นแคนดี้ครัชทั้งวันเลยแสส)

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้นี้โดยพลัน

https://www.facebook.com/…/?…

https://www.facebook.com/…/989323221091796:0

■

เรื่องมันมีอยู่ว่าวันก่อนมันมีเอกสารหลุดจากธนาคารแห่งนึง โดยเอกสารมันระบุว่า

ให้รับสมัครเจ้าหน้าที่ตำแหน่งที่ปรึกษาการเงิน จากมหาลัยดังๆแค่บางแห่งเท่านั้น คนก็ก่นด่านโยบายนี้กันขรม

ทีนี้มันดราม่ามากขึ้นเมื่อมีเอกสารหลุดออกมาอีกฉบับ จากธนาคารอีกแห่งนึง

ที่ในเอกสารนั้น แบ่งมหาวิทยาลัยในประเทศไทยออกเป็นหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่ม AA AB BB

โดยกลุ่ม AA เนี่ย ถ้าเกรด 2.5 ขึ้นไปก็รับ แต่กลุ่ม AB กับ BB ต้องเกิน 2.75  และ 3.00 ตามลำดับถึงจะรับ

■

■

สรุปคือถ้าเป็นมหาลัยดัง เกรดไม่ต้องสูงมากก็ผ่านเกณฑ์รับสมัครเข้าทำงานละ

ในขณะที่มหาลัยที่ดังน้อยกว่า ต้องเกรดสูงกว่ามหาลัยดังเยอะเลยถึงจะผ่านเกณฑ์

มีคนเอาเอกสารนี้มาลงในเว็บพันทิป คนที่ไม่พอใจก็โวยวายว่าเกรดมหาลัยมันทำให้คนๆนั้นเป็นคนดีมีความสามารถรึไงวะ

■

มีคนตอบว่า เกรดมันวัดได้ว่าคนๆนั้นมีความรับผิดชอบ และตั้งใจเรียนระหว่างอยู่ในมหาลัยรึเปล่าว่ะ

■

การจัดลำดับของมหาลัยไม่ใช่เรื่องแปลกนะมึง ต่างประเทศเขาก็ทำกัน ถ้าเมิงอยากให้มหาลัยของตัวเอง

เลื่อนชั้นไปอยู่เกรด AA มึงก็ไปพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนให้เด็กจบมามีคุณภาพซะสิวะ

■

อมยิ้มคนนึงถามว่าถ้ามึงปฎิเสธไม่รับคนเข้าทำงานเพราะเขาจบจากมหาลัยโนเนม

ทั้งๆที่เขาอาจจะมีศักยภาพในการทำงานสูงกว่า ไม่เท่ากับว่าพวกมึงตัดโอกาสเขาตั้งแต่ก่อนยื่นใบสมัครงานหรอเหรอวะคะ

■

ชาวพันทิปตอบว่ามันก็จริงที่เด็กบางกลุ่มอาจถูกตัดโอกาสเพราะแนวคิดนี้ แต่ถ้ามีคนมาจีบมึงทีเดียวร้อยคน

เป้นมึง มึงจะลองคบ ลองออกเดทกับทั้งร้อยคนก่อนตัดสินใจคบกับคนใดคนนึงรึเปล่าล่ะ

ในทางปฎิบัติ มึงก้ต้องหาวิธีตัดตัวเลือกจากร้อยคนนั้นให้เหลือเฉพาะคนที่เหมาะสมที่สุด

เช่น อาจจะบอกว่า ชอบคนรวย ชอบคนหน้าตาดี ใครไม่เข้าเกณฑ์นี้อย่าเสือกมาจีบกรูเชียวนะคะ

การสมัครงานก็เช่นกัน มันย่อมมีสเป็คที่ผู้ประกอบการเขาต้องการอยู่แล้ว แค่เขาไม่บอกให้มึงรู้โต้งๆก็เท่านั้นเอง

■

ผู้ประกอบการเขาก็มีสิทธิเลือกว่าจะรับเด็กมหาลัยไหน มันเป็นสิทธิของเขา ถ้ามีคนมาสมัครงานตำแหน่งเดียวกัน

จบมาจากคณะเดียวกัน แต่มหาลัยต่างกัน เป็นมึงมึงจะเลือกใครระหว่างคนที่จบมหาลัยดังกับมหาลัยโนเนมวะ

■

มีความเห็นนึงบอกว่า ที่ผู้ประกอบการเขาต้องทำแบบนี้ ก็เป็นเพราะพวกมหาลัยเกรด BB มันปล่อยเกรดนั่นล่ะ

ถ้าให้ให้เกรดเด็กยากๆเหมือนมหาลัยเกรด AA ก็คงไม่มีปัญหาหรอก เพราะงี้ไงเราถึงต้องตั้งเกณฑ์เกรดเด็กมหาลัย BB ไว้สูงๆ

■

■

คนที่ไม่เห็นด้วยก็แย้งว่ามหาลัยเกรด AB BB มันปล่อยเกรดตรงไหนวะ

กว่าจะเรียนจบได้มันก็เลือดตาแทบกระเซ็นเหมือนกันนั่นแหละ ถ้ามหาลัยพวกนี้ปล่อยเกรด

นักศึกษามันคงได้เกรดสามกว่า ได้เกียรตินิยมกันเกลี้ยงทั้งมหาลัยแล้วมั้ง

■

■

มีเด็กเอแบค ที่ตามเอกสารนี้ถูกจัดให้เป็นมหาลัยเกรด BB โวยลั่นว่าเอแบคด้อยกว่าจุฬา ธรรมศาสตร์ตรงไหนวะ

ถ้าเป็นสายบริหารธุรกิจ มหาลัยนี้ความรู้แข็งโป๊กเลยนะมึง แถมยังมีทักษะภาษาอังกฤษดี เอาไปใช้งานได้จริงด้วย

■

อมยิ้มคนนึงบอกว่า เอแบคมันก็แค่มหาลัยเอกชน ใครๆก็เข้าเรียนได้นี่หว่าถ้ามีเงิน

มึงกล้าเอามาเปรียบเทียบกับจุฬา ธรรมศาสตรได้ไง ถ้ามึงใช้สมองคิดมึงก็น่าจะรู้แก่ใจว่า

เอแบค มันเทียบจุฬา ธรรมศาสตร์ ที่กว่าจะเข้าเรียนได้ต้องแข่งกันเลือดตาแทบกระเซ็นไม่ได้หรอกว่ะ

■

ไอ้วาทะกรรมที่ว่า มหาลัยไหนๆก็เรียนได้เหมือนๆกันเนี่ย กรูว่าไม่จริงเลยนะ

■

คนที่เข้ามหาลัยเกรด AA ได้ มันต้องติวหนังสือสอบหามรุ่งหามค่ำกันทั้งนั้นกว่าจะสอบติด

ส่วนไอ้พวกมหาลัยเกรด AB BB น่ะเหรอ มึงเข้าไปมั่วข้อสอบแป๊บเดียวก็ติดแล้ว

แล้วไอ้มหาลัยเกรด AB BB มันก็มีแต่พวกที่พลาดมาจากเกรด AA ทั้งนั้น สังคมของมหาลัยพวกนี้เป็นยังไงก็รู้ๆกัน

ดังนั้นการที่ผู้ประกอบการตั้งเกณฑ์ในการรับสมัครพนักงานแบบนี้ มันก็เหมาะสมแล้วนี่หว่า

■

มีคนแย้งว่า ต่อให้มึงจบมาจากมหาลัยดัง เกรด AA ก็ใช่ว่ามึงจะทำงานดี ทำงานเก่งนะเว้ย

■

ชาวพันทิปก็ย้อนถามว่าแล้วมึงจะให้ผู้ประกอบการตัดสินว่าจะรับใครเข้าทำงานด้วยปัจจัยใดวะ ถ้ามึงคิดว่าจบมหาลัยเกรดไหนก็เหมือนๆกัน

■

ความเห็นนั้นตอบว่า มึงก็ให้มันทดลองงาน แล้วเลือกคนที่เก่งที่สุดสิวะ

■

ชาวพันทิปตอบว่า เสียเวลาสัส เสียทั้งเวลา เสียทั้งค่าใช้จ่ายช่วงให้เด็กมันทดลองงาน

เวลาเป็นเงินเป็นทองนะมึง จะให้เอามาสิ้นเปลืองกับเรื่องพรรค์นี้ได้ยังไง

ดังนั้นบริษัทก็ควรจะประหยัดงบในส่วนนี้ โดยพิจารณาจากสถาบันการศึกษาที่จบมาเป็นหลักว่ะ

■

ผู้ประกอบการเขาไม่โง่นะมึง คิดเหรอว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกรดมันวัดศักยภาพไม่ได้ทั้งหมด

แต่การควานหาคนเก่งจากคนที่เกรดสูงๆเนี่ย โอกาสได้คนดีมีฝีมือ มันเยอะกว่าควานหาจากคนเกรดต่ำ มหาลัยเกรด BB เยอะเลยไง

ในเมื่อมีวิธีควานหาลูกจ้างที่มีคุณภาพได้ แล้วทำไมเขาถึงต้องไปลำบากลำบนควานหาจากพวกเรียนไม่เก่งมหาลัยเกรด BB ด้วยวะ

■

อมยิ้มคนนึงแย้งว่าเกรดมันไม่ได้วัดเลยนะว่ามึงจะทำงานได้เก่งมั้ย มันแค่บอกว่า

สมัยมึงเรียนอยู่ในมหาลัย มึงเรียนเก่งแค่นั้นเอง แต่มันบอกว่ามึงมีความรับผิดชอบมั้ย

อันนี้บอกไม่ได้ เพราะบางคนอ่านหนังสือแทบตาย สุดท้ายได้เกรด B บางคนอ่านนิดเดียวได้เกรด A ก็มี

■

ชาวพันทิปบอกว่าที่มึงพูดมามันก็ถูก คนที่ได้เกรดน้อย จบมหาลัยเกรด BB แต่ทำงานได้ดีกว่าก็มี

แต่แนวโน้มส่วนมากมันไม่ใช่แบบนั้นไง ไอ้พวกที่เกรดสูง จบมหาลัยดังอ่ะ แนวโน้มทำงานดีสูงกว่าเยอะ

คือถ้าเรารับเด็กที่จบมหาลัยดีๆ อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่ามันน่าจะเก่ง หรือไม่ก็ทั้งเก่งทั้งขยัน

ให้เหี้ยหน่อยก็อาจจะได้เด็กเก่งแต่ขี้เกียจ คือมันต้องมีดีซักอย่างนั่นแหละ ไม่งั้นมันเข้ามหาลัยดังไม่ได้หรอก

แต่ถ้าเรารับเด็กจากมหาลัยไม่ดังมา ถ้าโชคดีก็อาจจะได้เด็กโง่แต่ขยันตั้งใจเรียน แต่ถ้าซวยนี่ได้ทั้งเด็กโง่แถมขี้เกียจเลยนะมึง

■

ผู้ประกอบการคนนึงที่ไม่เห้นด้วยกับแนวคิดนี้ก็บอกว่ากรูเปิดบริษัท จ้างพนักงานมาหลายคน

กรูไม่เคยสนใจเลยนะว่าเขาจบมหาลัยไหนมา หรือเกรดเท่าไหร่ ขอแค่ถ้าทำงานได้ มีไหวพริบดีก็พอแล้ว

■

ชาวพันทิปตอบว่าก็ตอนนี้บริษัทมึงยังไม่ใหญ่โตอะไรไง มึงจะรับใครมาทำงานก็ได้

หรือมึงจะรับพวกที่เรียนจบ ป.4 มาทำงานจิปาถะก็ยังได้ แต่ถ้าบริษัทมึงเริ่มใหญ่โตเมื่อไหร่

ความคิดมึงจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน เพราะคนเรียนเก่งหรือไม่เก่ง มันจับมาเทรนได้เหมือนกัน

แต่กระบวนการคิด และทัศนคติในการทำงานของคนสองกลุ่มนี้ มันต่างกันคนละเรื่องเลยว่ะ

■

อมยิ้มคนนึงท้วงว่า ถ้ามึงอยากคัดคนที่มีกระบวนการคิด ทัศนคติดีๆ และมีความสามารถด้วย

มึงก็จับคนมาสอบวัดความสามารถก็ได้นี่หว่า ดีกว่าคิดเองเออเองว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มดีกว่ากลุ่มอื่นนะเว้ย

■

ชาวพันทิปตอบว่า จัดสอบแบบนั้นมันเปลืองค่าใช้จ่ายว่ะ แล้วถ้าผู้ประกอบการมีวิธีที่สามารถคัดคนมีคุณภาพได้

เขาจะจัดสอบให้เปลืองงบเล่นทำไมวะ หรือต่อให้จัดสอบจริงๆ มันก็คัดได้แค่คนที่ทำข้อสอบเก่งเท่านั้นแหละ

ไม่ได้คัดว่าคนๆนั้นจะทำงานดีทำงานเก่งซักหน่อย (มึงคัดจากเกรดก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอวะ)

■

มีคนคุยโวว่าการที่ผู้ประกอบการเอามาเทียบกันแบบนี้ เท่ากับมึงกำลังดูถูกเด็กที่จบมหาลัยเกรด AA

มีอย่างที่ไหน มึงเอาพวกกรูเกรด 2.5 ไปเทียบกับมหาลัยเกรด BB หรือราชภัฎเกรด 3.00

มึงไม่รู้เหรือว่าเด็กมหาลัยเกรด AA อย่างพวกกรูเหนือกว่ามึงเยอะ ทั้งด้านภาษา ประสิทธิภาพในการทำงาน กระบวนการคิด

ยกตัวอย่างเช่นเรื่องภาษาอังกฤษ เด็กที่จบจากเกรด BB บางคนที่ตอนเรียนมหาลัยได้เกรด A

เผลอๆยังจ้อกับฝรั่ง สู้เด็กมหาลัยเกรด A ที่สอบได้เกรด C ไม่ได้ด้วยซ้ำ

■

เด็กมหาลัยเกรด BB ฟังแล้วก็รู้สึกคันตีน ท้าพวกที่จบมหาลัยเกรด AA ว่า แน่จริงมึงมาสอบแข่งกับกรูเลยสัส

ถ้ามึงเจ๋งจึงอย่างที่มึงว่า ต่อให้มึงเอาคนที่จบมหาลัยเกรด A แต่ได้เกรดสองกว่าๆมาแข่งกัน

มึงก็ควรที่จะเอาชนะคนที่จบมหาลัยเกรด BB และได้เกรด 3.76 อย่างกรูได้ง่ายๆเลยใช่มั้ย

■

ชาวพันทิปตอบว่า มึงแค่คนเดียว ต่อให้มึงชนะเด็กมหาลัยเกรด AA

แต่มันจะวัดคุณภาพของทั้งมหาลัยได้ไง มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลของมึงคนเดียวเท่านั้น

■

เด็กมหาลัยเกรด BB ตอบว่า เออ ก็นั่นน่ะสิ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล วัดคุณภาพของทั้งมหาลัยไม่ได้

แล้วมึงจะเอามหาลัยมาเป็นเกณฑ์วัดว่าถ้าจบมหาลัยเกรดนี้ ต้องใช้เกรดเท่านี้ ถ้าจบจากมหาลัยอีกเกรดต้องใช้เกรดอีกระดับนึงได้ไงว๊ะ

มึงแน่ใจได้ไงว่าคนที่จบจากมหาลัยเกรด BB จะต้องด้อยกว่าคนที่จบจากมหาลัยเกรด AA เสมอไป!!

■

จากนั้นชาวพันทิปก็เถียงกันรัวๆว่าการที่ผู้ประกอบการ แบ่งแยกผู้สมัครงานตามเกรดมหาลัย

แล้วกำหนดให้พิจารณาเกรดของผู้สมัครแต่ละคนต่างกันไปตามมหาลัยที่จบมา มันเหมาะสมแล้วหรือไม่

มีชาวพันทิปคนนึงบอกว่า สังคมไทยมันก็เป็นแบบนี้นี่แหละ เราแบ่งเกรดซึ่งกันและกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลแล้ว

ทั้งๆที่การศึกษาพื้นฐาน ควรจะให้ความรู้เด็กทุกคนโดยเท่าเทียมกันและมีมาตรฐานเดียวกันแท้ๆ

แต่กลายเป้นว่าเด็กที่พ่อแม่มีเงินก็จะได้เข้าเรียนโรงเรียนเกรดดีๆ ส่วนพวกที่ไม่มีเงินก็เรียนโรงเรียนบ้านๆไปสิ

นับประสาอะไรกับระดับมหาลัย ที่มีทั้งมหาลัยโหดๆ ที่เคี่ยวเข็ญเด็กให้ตั้งใจเรียน ไม่งั้นไม่มีทางเรียนจบแน่

กับมหาลัยประเภทที่ว่าเด็กเรียนมั่งไม่เรียนมั่ง หรือทำรายงานแบบกากส์ๆด้วยกูเกิ้ลทรานเสลท ก็ยังเรียนจบได้

แล้วจะไม่ให้ผู้ประกอบการเขาคัดเด็กจากสถาบันการศึกษาได้ยังไง๊งงงงงงงงงง

■

ในขณะที่ชาวพันทิปอีกคนก็แย้งว่ามหาลัยที่เปิดในเมืองไทยเนี่ย มันต้องได้รับการรับรองหลักสูตรจากกระทรวงศึกษาธิการก่อนไม่ใช่เหรอวะ

แปลว่าหลักสูตรพวกนี้มันต้องผ่านมาตรฐานกันแล้ว แต่ทำไมถึงมีมหาลัยเกรดสูงเกรดต่ำอีกล่ะ

มึงยอมรับความจริงเหอะ ว่าพวกมึงไม่ได้มองที่ความสามารถ แต่มึงสนแค่ว่าไอ้นี่จบมหาลัยเดียวกับกรุรึเปล่า

ถ้ามันจบมหาลัยเดียวกับกรู ที่มีอำนาจตัดสินใจจะรับเด็กคนไหนเข้าทำงานก็ได้ ต่อให้มันทำงานห่วยแตก

กรูก็จะรับมันเข้าทำงานอยู่ดี เพราะเราเป็นพวกเดียวกัน!! ไอ้ที่เป็นปัญหามันไม่ใช่เรื่องปล่อยเกรดหรอกว่ะ

แต่เป็นระบบอปภัมป์ และ เส้นสาย ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยซะมากกว่า

■

อาห์ แล้วดราม่านี้จะลงเอยเช่นไร? แม้แต่ธนาคารเองก้ควรจะแบ่งเกรดเป็น AA AB BB หรือไม่

พวกเธอว์จงตามไปเสพในกระทู้เหล่านี้โดยพลัน!!

http://pantip.com/…/33852772

http://pantip.com/…/31939178